คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวอ้างเลยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 วรรคสองเพียงแต่กล่าวอ้างว่าโจทก์กับผู้ซื้อทรัพย์ร่วมกันเข้าสู้ราคาโดยไม่สุจริต สมคบกันกดราคาซื้ออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้จำเลยเสียหายเท่านั้น ซึ่งมิได้เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำสั่งของจำเลยเสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,241,925.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5ต่อปี ของต้นเงิน 1,241,925.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยผ่อนชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 50,000 บาท ทุกวันสิ้นเดือน เริ่มชำระตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม2537 ติดต่อกันทุกเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ และจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา และยอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่ได้สั่งคืนและค่าทนายความเป็นเงิน 1,500 บาท ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 หากจำเลยไม่ชำระเดือนหนึ่งเดือนใดหรือไม่ชำระหนี้ตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ให้ถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หากขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 713 เนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 1/4 จำนวน 1 หลัง เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปในราคา 1,740,000 บาท

จำเลยยื่นคำร้องว่า ราคาที่ขายให้แก่ผู้สู้ราคาสูงสุดจำนวน 1,740,000 บาทเป็นราคาต่ำ ทำให้จำเลยเสียหาย เนื่องจากจำเลยได้ลงทุนก่อสร้างที่เลี้ยงกบในที่ดินที่ขายทอดตลาดประมาณ 1,000,000 บาท และโจทก์กับผู้สู้ราคาสูงสุดสมรู้กันกดราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด งดการบังคับคดีและประกาศขายทอดตลาดใหม่

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดโดยชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกคำร้อง

ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตชอบด้วยกฎหมาย มิได้สมรู้กันกดราคาทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยเพียงอ้างว่าโจทก์และผู้ประมูลในราคาสูงสุดสมรู้กันกดราคา ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งการบังคับคดี และเกิดความเสียหายแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ ไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องอีกต่อไป ให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยไว้ไต่สวนก่อนหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ซึ่งต้องเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลดังกล่าว และบุคคลดังกล่าวยื่นคำขอเพื่อให้ศาลไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296วรรคสาม แต่ตามคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวอ้างเลยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 วรรคสองแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวอ้างว่า โจทก์กับผู้ซื้อทรัพย์ร่วมกันเข้าสู้ราคาโดยไม่สุจริตสมคบกันกดราคาซื้ออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้จำเลยเสียหายเท่านั้น ซึ่งมิได้เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยเสียได้โดยไม่ต้องไต่สวนก่อน”

พิพากษายืน

Share