แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญา แม้จะปรากฏว่าจับของกลางได้ก็ดี แต่โจทก์มิได้นำของกลางมาอ้างเป็นพยานในศาล จะเรียกว่าเป็นพยานวัตถุในศาลไม่ได้ และศาลย่อมไม่ถือว่า สิ่งที่มิได้อ้างมาเป็นพยานนั้นเป็นพยานหลักฐานในศาล แม้พยานบุคคลจะได้เบิกความกล่าวข้อความพาดพิงถึงของกลางเหล่านั้น ก็หาเรียกวัตถุที่ถูกกล่าวอ้างอิงพาดพิงถึงนั้นว่าเป็นวัตถุพยานไม่
ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายว่าถ้ามีของกลาง โจทก์จะต้องนำของกลางส่งศาลให้เป็นวัตถุพยาน ถ้าไม่นำส่งจะต้องถูกยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันเล่นการพนันโปปั่น พนันเอาทรัพย์สินกัน ขอให้ลงโทษ จำเลยปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกนายเชาวน์ นายมา จำเลยคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 500 บาท จำคุกนายรัด นายประสิทธิคนละ 2 เดือน ปรับคนละ 200 บาท ด.ช.วันชัยจำเลยเป็นเด็กมีอายุ 14 ปี ให้ว่ากล่าวแล้วปล่อยตัวไป
ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษจำคุกนายเชาวน์ นายมะ นายรัด นายประสิทธิให้รอการลงอาญา
นายเชาวน์ นายมะ จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำของกลางที่ใช้เป็นพยานวัตถุมาศาล เพื่อยืนยันการกระทำผิดของจำเลยตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 241, 242 ศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะปรากฏว่าจับของกลางได้ก็ดี แต่โจทก์มิได้นำมาอ้างเป็นพยานในศาล จะเรียกของกลางนั้นว่าเป็นพยานวัตถุในศาลไม่ได้ และศาลย่อมไม่ถือว่าสิ่งที่มิได้อ้างมาเป็นพยานหลักฐานในศาล แม้พยานบุคคลเบิกความพาดพิงถึงของกลางเหล่านั้นได้หาใช่เรียกวัตถุที่ถูกกล่าวอ้างอิงพาดพิงถึงนั้นว่าเป็นวัตถุพยานไม่ สำหรับคดีนี้ศาลมิได้ถือว่ามีของกลางเป็นวัตถุพยานเลย และไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายว่า ถ้ามีของกลาง โจทก์จะต้องนำของกลางส่งศาลให้เป็นวัตถุพยาน ถ้าไม่ส่งจะต้องยกฟ้องดังนั้นเลย
พิพากษายืน