แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. บิดาจำเลยเป็นทั้งผู้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางและผู้รับมอบอำนาจให้ยื่นคำร้องคดีนี้จากผู้ร้องผู้ให้เช่าซื้อเมื่อ ส. ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อแล้วผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาหรือติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางที่เช่าซื้อคืน จนกระทั่งจำเลยนำไปใช้กระทำความผิดในคดีนี้ และตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ระบุว่า หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายและค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระอยู่ทั้งสิ้นทั้งยังได้ความว่า ส.กับผู้ร้องตกลงกันว่าหากส.นำรถจักรยานยนต์ของกลางคืนให้แก่ผู้ร้องได้ ผู้ร้องยินดีจะขายให้แก่ ส. โดยคิดค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้นและไม่ประสงค์จะขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่การที่ผู้ร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนนั้นก็เพื่อประโยชน์ของ ส.ผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว ถือได้ว่าผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ผู้ร้องจึงไม่อาจที่จะขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4)(8),134 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบและไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงทั้งยังมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งได้ให้นายวีรสิทธิ์ ทองจันทร์ บิดาจำเลยเช่าซื้อไปเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 ในราคา 45,952 บาทชำระเงินในวันทำสัญญา 5,950 บาท ส่วนที่เหลือ 40,002 บาทชำระเดือนละ 13,334 บาท รวม 3 เดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 30 ธันวาคม 2536 ตามภาพถ่ายสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.4นายวีรสิทธิ์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องแล้ว 2 งวด คงค้างชำระงวดที่ 3 จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ของกลางแข่งขันโดยฝ่าฝืนกฎหมายและคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรถูกพนักงานสอบสวนยึดรถไว้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่านายวีรสิทธิ์ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อแล้วผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาหรือติดตามยึดรถจักรยานยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจนกระทั่งจำเลยนำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำผิดและถูกริบในคดีนี้การที่ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางอันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตและมีเหตุน่าเชื่อว่ากระทำไปเพื่อประโยชน์ของนายวีรสิทธิ์ ประกอบกับสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 ระบุไว้ว่าหากเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์ที่เช่าซื้อหรือการกระทำใด ๆจนทรัพย์ที่เช่าซื้อเสียหายหรือสูญหายผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายและค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระอยู่ทั้งสิ้นเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้นนอกจากนี้นายวีรสิทธิ์ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องและเป็นผู้เช่าซื้อรายนี้เบิกความตอบคำถามค้านโจทก์ว่าพยานและผู้ร้องตกลงกันว่า หากพยานนำรถจักรยานยนต์ของกลางคืนให้แก่ผู้ร้องได้ผู้ร้องยินดีจะขายรถจักรยานยนต์ของกลางแก่พยานโดยคิดค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย จึงแสดงว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง พฤติการณ์เช่นนี้ส่อแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนเพื่อประโยชน์นายวีรสิทธิ์ผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว ถือได้ว่าผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่อาจที่จะขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง