คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ และดำเนินการเพื่อจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองในคดีแพ่งที่ถึงที่สุดแล้วนั้นเป็นกรณีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยชอบ ซึ่งเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์นั้นเป็นเรื่องที่จะบังคับเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นกรณีคนละเรื่องกันผลของคำพิพากษาในคดีอาญาไม่อาจลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่งได้จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ คดีถึงที่สุดจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินจำเลยทั้งสอง ระหว่างศาลชั้นต้นประกาศขายทอดตลาด จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีแพ่งถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ฎีกา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์และดำเนินการเพื่อจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยชอบ เป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์นั้น เป็นเรื่องที่จะบังคับเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นกรณีคนละเรื่องกันแม้ว่าจำเลยทั้งสองจะชนะคดีอาญาดังอ้างมาในฎีกา ผลของคำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่อาจลบล้างคำพิพากษาในคดีนี้ได้ ทั้งไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share