แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือให้คำมั่นของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยระบุไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยต้องยื่นคำเสนอว่าจะซื้อที่พิพาทคืนภายในกำหนดเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2515 การที่จำเลยเพิ่งเสนอว่าจะซื้อที่พิพาทคืนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2522. จึงล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามคำมั่นเสียแล้ว คำเสนอขอซื้อของจำเลยจึงไร้ผล
การที่ศาลชั้นต้นในคดีอื่นมีคำสั่งห้ามโอนที่พิพาทเป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น มิได้เป็นข้อห้ามหรือขัดข้องแก่การที่จำเลยจะยื่นคำเสนอขอซื้อที่พิพาทคืน เพราะการเสนอขอซื้อเป็นคนละขั้นตอนกับการจำหน่ายจ่ายโอน คำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าวจึงไม่มีผลให้ระยะเวลาตามคำมั่นต้องสะดุดหยุดลง
ข้อฎีกาที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทรวม 7 โฉนดโดยซื้อจากจำเลยจำเลยได้อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 6 ซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าว ต่อมาโจทก์ต้องการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวจึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปแต่จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบ้านเลขที่ 6 ออกไปด้วย หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์รื้อถอนโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า วันที่ 14 ธันวาคม 2515 จำเลยได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยโจทก์ทำหนังสือให้คำมั่นไว้แก่จำเลยว่า โจทก์ยินดีจะขายที่พิพาทคืนให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว แต่จำเลยต้องยื่นคำเสนอว่าจะซื้อที่ดินคืนภายในเวลา 2 ปี ในเรื่องราคาจะตกลงกันต่อไป แต่ต้องไม่ต่ำกว่าหกล้านบาท ระหว่าง 2 ปีนี้โจทก์ยอมให้จำเลยครอบครองและยอมให้สิ่งปลูกสร้างรวมบ้านเลขที่ 6 คงอยู่ต่อไปได้ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2516 โจทก์และจำเลยถูกนางอรุณีฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทไว้ชั่วคราวการที่จำเลยจะทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทกับโจทก์จึงไม่อาจทำได้จนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุด นับว่ามีพฤติการณ์พิเศษนอกเหนืออันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ระยะเวลา 2 ปีตามคำมั่นจึงต้องสะดุดหยุดลง ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์จำเลยชนะคดีโดยศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2522ครั้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2522 จำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ขอซื้อที่พิพาทคืนโจทก์ไม่ยอมขายคืน เป็นฝ่ายผิดคำมั่น จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท โดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบ้านเลขที่ 6 ออกไปจากที่พิพาท หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนเอง โดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือให้คำมั่นระบุไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยต้องยื่นคำเสนอว่าจะซื้อที่พิพาทคืนภายในกำหนดเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ 14 ธันวาคม2515 มิฉะนั้น เป็นอันหมดสิทธิ ฉะนั้น การที่จำเลยเพิ่งเสนอว่าจะซื้อที่พิพาทคืนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2522 จึงล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามคำมั่นเสียแล้ว คำเสนอขอซื้อของจำเลยจึงไร้ผลที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งห้ามชั่วคราวของศาลชั้นต้นเป็นพฤติการณ์นอกเหนืออันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ มีผลให้ระยะเวลา 2 ปีตามคำมั่นต้องสะดุดหยุดลงจนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าวหาได้เป็นข้อห้ามหรือขัดข้องแก่การที่จำเลยจะยื่นคำเสนอขอซื้อที่พิพาทคืนแต่อย่างใดไม่ เพราะการเสนอขอซื้อเป็นคนละขั้นตอนกับการจำหน่ายจ่ายโอนทั้งเมื่อเสนอขอซื้อไปแล้วก็ยังต้องมีการเจรจากันในเรื่องราคาอีก ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ดังนี้ คำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าวจึงหามีผลให้ระยะเวลาตามคำมั่นต้องสะดุดหยุดลงดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงตามคำมั่นของโจทก์ในเรื่องราคาที่ให้โจทก์กำหนดเอาเองได้ตามชอบใจเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ดี และข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้เสนอขอซื้อที่พิพาทคืนภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปีตามคำมั่นแล้วก็ดี จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน