คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เข้าครอบครองที่ดินมีโฉนดโดยได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือกับเจ้าของร่วมและได้รับโฉนดไว้ และได้ครอบครองต่อมาเกิน 10 ปี ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผย โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ (ผู้ร้อง) ร้องขอให้ศาลแสดงว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
จำเลยที่ ๑ (ผู้ร้องคัดค้าน) คัดค้านว่าตนมีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมด้วย
จำเลยที่ ๒ (ผู้ร้องคัดค้าน) คัดค้านว่าตนมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในโฉนด หากผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นขายที่นี้ให้โจทก์ สัญญาซื้อขายก็เป็นโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียน โจทก์เพียงแต่ครอบครองแทนผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นเท่านั้น จำเลยที่ ๒ ยังครอบครองที่อยู่โดยให้ผู้อื่นครอบครองแทน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ตามมาตรา ๑๓๘๒ ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนดแต่ผู้เดียว
จำเลยที่ ๒ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย โจทก์จึงครอบครองแทนเจ้าของที่ดินเท่านั้น พิพากษากลับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท หรือไม่ได้ให้ผู้อื่นครอบครองแทน โจทก์ได้ซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อร่วมในโฉนด แล้วเข้าครอบครองมา ๒๗ – ๓๐ ปี โดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และเป็นที่เห็นได้ว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้สละการครอบครองแล้วด้วย โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share