แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วัดซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สมบัติของวัดได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 43 แต่ศาสนสมบัติของวัดก็ต้องเป็นไปตามระเบียบซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ตราไว้ด้วยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 49
ฟ้องว่าวัดโจทก์จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของวัด ระหว่างก่อสร้างจำเลยเข้าดำเนินงานก่อสร้างเอง โดยโจทก์ไม่ยินยอม เมื่อจำเลยต่อสู้ว่า จำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติ และต่อสู้ว่า จำเลยทำตามคำสั่งของสังฆายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดโจทก์ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของวัดโจทก์ ระหว่างก่อสร้างอยู่ จำเลยได้เข้าดำเนินการก่อสร้างแทนโดยไม่มีอำนาจ และโจทก์ไม่ยินยอม เป็นการละเมิดจึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลย
จำเลยทั้ง ๓ ให้การว่าจำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติและจำเลยทำตามคำสั่งของสังฆนายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดบึงโจทก์ ๆ ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์แถลงรับว่า จำเลยทำตามคำสั่งจริง แต่โต้แย้งว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๓ และโจทก์ไม่ติดใจเรียกสังฆนายกกับสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองมาเป็นจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาว่า จำเลยเป็นตัวแทนและตัวแทนช่วง โจทก์ตามฟ้องตัวการ เมื่อไม่ฟ้องหรือไม่เรียกตัวการมาเป็นจำเลยร่วม ก็ต้องยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องใหม่
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีเป็นเรื่องละเมิดไม่ใช่ตัวแทนโจทก์ฟ้องจำเลยได้ แต่คำสั่งของสังฆนายก และสังมนตรีจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และโจทก์จะต้องปฏิบัติตามเพียงไร ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ จึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีตามฟ้องและคำให้การดังนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ พิพากษายืน