คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางเดินบนคันคลองสาธารณะผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามและบริวารได้ใช้ทางพิพาทนี้เดินไปมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ทั้งสามจึงได้ภารจำยอมโดยอายุความ หรือมิฉะนั้นทางพิพาทก็เป็นทางสาธารณประโยชน์ที่บุคคลทั่วไปมีสิทธิใช้สอยได้ ถือได้ว่าสภาพของทางพิพาทตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นอาจเป็นได้ทั้งสองกรณี กล่าวคือ หากทางพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยก็อาจตกเป็นภารจำยอม หากไม่เป็นที่ดินของจำเลยก็อาจเป็นทางสาธารณะได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้ไม่ขัดแย้งกันไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเดิมโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 2192 ตำบลบางเชือกหนังฝั่งใต้(ตำบลบางแวก) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 3 ไร่3 งานเศษ ต่อมามีการแบ่งส่วนและแบ่งแยกโฉนดที่ดินเดิมออกเป็นโฉนดที่ดินใหม่ ส่วนของโจทก์ที่ 1 แยกออกเป็นโฉนดที่ดินใหม่เลขที่ 69416, 69417 และ 69423 รวม 3 โฉนด ส่วนของโจทก์ที่ 2แยกออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 69410 และส่วนของโจทก์ที่ 3 แยกออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 69421 แต่เดิมมาที่ดินดังกล่าวมีทางเดินเป็นคันคลองสาธารณประโยชน์กว้างประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 3-4 กิโลเมตรผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 2197 ของจำเลยซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสามไปตามคลองสาธารณประโยชน์ ซึ่งโจทก์ทั้งสาม บริวารและชาวบ้านย่านนั้นใช้เดินสัญจรไปมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ โดยใช้ทางนี้เดินติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางเดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นทางภารจำยอมซึ่งโจทก์ทั้งสามได้มาโดยอายุความ หรือมิฉะนั้นทางพิพาทก็เป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งมีไว้สำหรับประชาชนทั่วไปใช้สอยร่วมกัน เมื่อรวมต้นปี 2527 จำเลยได้ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทตรงเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งสามกับจำเลย ทำให้โจทก์ทั้งสามกับประชาชนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามไม่อาจใช้ทางพิพาทเดินไปมาได้ อันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามแจ้งให้จำเลยรื้อถอนรั้ว ขจัดสิ่งกีดขวางออกไปให้พ้นจากทางพิพาทหลายครั้งแล้วจำเลยก็ยังเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วพร้อมขจัดสิ่งกีดขวาง เปิดทางภารจำยอมหรือทางสาธารณะพิพาทออกให้มีความกว้าง 5 เมตรเศษ ทำทางพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมห้ามขัดขวางการใช้ทางพิพาท หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้โจทก์ทั้งสามมีอำนาจเข้าจัดการรื้อถอนรั้วและขจัดสิ่งกีดขวางได้เองโดยให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามจำนวน 26,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความหรือมิฉะนั้นก็เป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งบุคคลทั่วไปมีสิทธิใช้สอย จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยรับว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2197 ตำบลบางเชือกหนังฝั่งใต้ อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จริงตามฟ้องแต่ที่ดินตามโฉนดของจำเลยดังกล่าวไม่ว่าส่วนใดไม่เคยตกเป็นทางภารจำยอมหรือตกเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ทางราชการจัดไว้ให้บุคคลทั่วไปใช้สอย ความจริงโจทก์ทั้งสามและบริวารใช้ทางเดินออกสู่ทางสาธารณะทั้งทางบกและทางน้ำเป็นปกติประจำตลอดมานานแล้วโดยไม่จำเป็นต้องผ่านหรือต้องใช้ที่ดินของจำเลย จำเลยทำรั้วกั้นแนวเขตที่ดินของจำเลยถึงตรงจุดพิพาทมาตั้งแต่ปี 2513 โดยหวงห้ามมิให้ผู้ใดผ่านรวมทั้งโจทก์ทั้งสามและบริวารด้วย ที่ดินของจำเลยมีลักษณะเป็นสวน ประกอบด้วยคันสวนและร่องน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำสวนผลไม้ คันดินจากจุดพิพาทที่จำเลยปิดกั้นรั้วไปจนถึงถนนสาธารณะ (ถนนบางแวก) เป็นแนวคันสวนและแนวเขตที่ดินของจำเลยด้วยมีความกว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวประมาณ 76 เมตร จำเลยยอมรับว่าก่อนปี 2513 มีเพื่อนบ้านอาศัยเดินผ่านทางพิพาทส่วนนี้บ้างแต่เมื่อปิดกั้นรั้วแล้วไม่มีผู้ใดเดินผ่านที่ดินส่วนนี้ ที่ดินของจำเลยไม่เคยถูกทางราชการกำหนดให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยมิได้กระทำละเมิดจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายสิ่งกีดขวางของจำเลยและบริวารของจำเลยออกไปให้พ้นจากทางพิพาทตลอดแนวเขตกล่าวคือกว้าง 5 เมตร จากริมคลองผู้ใหญ่เอี่ยมหรือลำกระโดงสาธารณประโยชน์ยาวไปตามลำคลอง 78 เมตร ถึงถนนบางแวก ห้ามจำเลยตลอดจนบริวารของจำเลยขัดขวางทางสาธารณะพิพาทของโจทก์ทั้งสามและบริวารหากไม่ยอมรื้อถอนขนย้ายสิ่งกีดขวางออกไป ให้โจทก์ทั้งสามมีอำนาจเข้ารื้อถอนขนย้ายสิ่งกีดขวางออกไปให้พ้นจากทางพิพาทได้เองโดยให้จำเลยเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนขนย้าย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 26,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์ทั้งสามนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์ทั้งสามรื้อถอนขนย้ายสิ่งกีดขวางได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางเดินบนคันคลองสาธารณะผ่านที่ดินของจำเลย ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามและบริวารได้ใช้ทางพิพาทนี้เดินไปมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ทั้งสามจึงได้ภารจำยอมโดยอายุความ หรือมิฉะนั้นทางพิพาทก็เป็นทางสาธารณประโยชน์ที่บุคคลทั่วไปมีสิทธิใช้สอยได้ เห็นว่า สภาพของทางพิพาทตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นอาจเป็นได้ทั้งสองกรณี กล่าวคือ หากทางพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยก็อาจตกเป็นภารจำยอม หากไม่เป็นที่ดินของจำเลยก็อาจเป็นทางสาธารณะได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดแย้งกันไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอยังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และจำเลยมีสิทธิปิดกั้นทางพิพาทหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า ทางพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 2197ของจำเลย โจทก์ทั้งสามและประชาชนย่านนั้นใช้ทางพิพาทเดินมาเกิน10 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ใดหวงห้ามจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาท
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายตามฟ้องได้หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะทำให้โจทก์ทั้งสามซึ่งต้องเดินผ่านทางพิพาทอยู่เป็นประจำไม่สามารถเดินผ่านทางพิพาทตรงไปออกถนนบางแวกซึ่งเป็นทางสาธารณะได้เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ และเห็นด้วยที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน26,000 บาท
พิพากษายืน

Share