คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1625/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ต. และมีอำนาจฟ้องคดีแทน ต. เมื่อปรากฏว่า ต. ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้วิกลจริตถึงแก่กรรมไปก่อนวันนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวแล้ว ศาลก็ไม่อาจตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ต. ได้ เพราะ ต. ไม่ใช่ผู้วิกลจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างต่อไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้วิกลจริตซึ่งผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้นั้น หมายถึงกรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายตาย หาได้หมายความรวมถึงกรณีนี้ซึ่งผู้เสียหายได้ตายไปเสียก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๐ ว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางตามน ภักดี อายุ ๙๘ ปี ป่วยด้วยโรคชรา และเป็นผู้วิกลจริตมากว่า ๕ ปี ยังไม่มีผู้อนุบาล จำเลยที่ ๒ เป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาโจทก์ และเป็นภริยาจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยทั้งสามโดยเจตนาทุจริตได้ร่วมกันกรอกข้อความโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของมารดาโจทก์เป็นของจำเลยที่ ๒ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากมารดาโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๓ อาศัยอำนาจเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รับรองข้อความอันเป็นเท็จ ให้มารดาโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือทำนิติกรรมดังกล่าว มีจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมเป็นพยานรับรอง และเป็นการร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่มารดาโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๗, ๒๖๘, ๘๓, ๙๐, ๙๑ และโจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันเดียวกัน ขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางตามน ภักดี มารดาโจทก์ ผู้เสียหายที่วิกลจริตและมีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนผู้เสียหายต่อไปด้วย
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนำคดีที่ได้ฟ้องไว้แล้วมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามกฎหมาย ให้ยกฟ้องและยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องและคำร้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๑ จำเลยที่ ๒ คัดค้านอ้างว่านางตามน ภักดี ถึงแก่กรรมแล้ว
ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์และทนายจำเลยทั้งสามว่า นางตามน ภักดี ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราไปเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ แล้ว จึงให้งดการไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้องกับไม่รับคำฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้นางลำดวน ภักดี โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะที่โจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางตามน ภักดี มารดาซึ่งเป็นผู้วิกลจริตไม่มีผู้อนุญาต และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางตามนและมีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนนางตามนผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖ ซึ่งบัญญัติให้ศาลไต่สวนคำร้องของโจทก์เสียก่อนจึงจะตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางตามนได้ แต่ปรากฏว่าในวันที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวของโจทก์นั้น นางตามนซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้วิกลจริตได้ถึงแก่กรรมไปก่อนวันนัดไต่สวนแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ศาลฎีกาจึงเห็นว่าศาลไม่อาจตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางตามนได้ เพราะนางตามนไม่ใช่ผู้วิกลจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างต่อไป แต่นางตามนเป็นผู้ตายและศาลไม่อาจมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของบุคคลที่ตายแล้วได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๙ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้วิกลจริต ซึ่งผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้นั้น หมายถึงกรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายตาย หาได้หมายความรวมถึงกรณีนี้ซึ่งผู้เสียหายได้ตายไปเสียก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วยไม่
พิพากษายืน

Share