คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานในพินัยกรรม 2 คนซึ่งไม่ได้ลงชื่อในขณะทำพินัยกรรมพร้อมกัน คนหนึ่งลงชื่อไว้ในภายหลัง แม้จะได้สอบถามตัวเจ้ามรดกหรือไม่ก็ตาม พยานเช่นนี้ย่อมเรียกไม่ได้ว่าเป็นพยานในพินัยกรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656
พยานผู้เขียนพินัยกรรมซึ่งลงชื่อไว้ในช่องผู้เขียนแยกต่างหากจากช่องพยานในพินัยกรรม เช่นนี้จะถือผู้เขียนเป็นทั้งพยานในพินัยกรรมและพยานผู้เขียนด้วยไม่ได้
ผู้ทำพินัยกรรมพิมพ์ลายนิ้วมือไว้โดยมีพยานเซ็นชื่อรับรองในขณะนั้นเพียงคนเดียวดังนี้เป็นการไม่ชอบตามมาตรา 1665

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงที่ไม่มีข้อโต้เถียงกันได้ความว่า นางพันถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2493 มีบุตร 9 คน คือนางเฮียะจำเลย นางทองอยู่ นางสาวลมูล นางละออ นางละม่อม นางสาวโหมดนางถนอมและโจทก์ นางเฮียะถึงแก่ความตายไปก่อน แต่มีบุตร คือนายเจริญ นางพันมีทรัพย์มรดก 1 ถึง 12 ทรัพย์หมายเลข 5 คือตัวเงินสด 25,000 บาทอยู่ที่จำเลย ขอให้เอามารวมกันแบ่งให้โจทก์ 1 ใน 9 ส่วน

จำเลยรับในเรื่องเครือญาติและทรัพย์ตามหมายเลขต่างยินยอมให้แบ่งเป็นมรดกตามส่วน คงปฏิเสธทรัพย์หมายเลข 5 เงินสด 25,000 บาทนั้นว่าไม่มีที่จำเลย และที่ดินหมายเลข 6-7 โต้แย้งว่านางพันได้ทำพินัยกรรมแบ่งส่วนให้แก่บุตรหลานไปแล้ว ขอให้เป็นไปตามพินัยกรรมและขอให้กันเงินค่าทำศพ

นางทองอยู่และนางถนอมร้องสอดขอส่วนแบ่ง ศาลอนุญาต

นายเจริญ นางสาวลมูล นางละออ นางละม่อมและนางสาวโหมดโดยจำเลยเป็นผู้แทนเฉพาะคดี ร้องสอดขอส่วนแบ่งในกองมรดก ฝ่ายโจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องสอดเหล่านี้นอกจากนางสาวโหมดมิได้ครอบครองทรัพย์มรดกทุกรายการ และร้องขอเข้ามาเมื่อขาดอายุความมรดกแล้ว ผู้ร้องสอดทั้ง 5 คนนี้จึงร้องขอเข้าเป็นจำเลยในคดีด้วย ศาลอนุญาต นางละม่อมถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาคดี ศาลอนุญาตให้นายอุตโม จำเลยเป็นผู้รับมรดกความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เอาทรัพย์หมายเลข 1 ถึง 4 และ 6 ถึง 11 และให้จำเลยส่งผลประโยชน์หมายเลข 12 เป็นเงินสด 500 บาทมาแบ่งออกเป็น 9 ส่วนให้โจทก์ นายอุตโม จำเลย นางถนอม นางทองอยู่นางสาวลมูล นางละออ นางสาวโหมดโดยนายอุตโมจำเลยเป็นผู้แทนเฉพาะคดีนางละม่อมโดยนายอุตโมจำเลยเป็นผู้รับมรดกความ และนายเจริญคนละ 1 ส่วน แบ่งไม่ตกลงให้ประมูลราคากันเอง มิฉะนั้นให้ขายทอดตลาดไป หักค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความฝ่ายละ 300 บาท ค่าทำศพ 9,000 บาทไว้ก่อน

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อมา

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า

1. พินัยกรรมตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพยานมิได้ลงชื่อในขณะทำพินัยกรรมพร้อมกันตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1656 เงิน 500 บาทอันเป็นผลประโยชน์จากที่ดินตามพินัยกรรมฉบับนั้นจำเลยจึงคัดค้านไม่ได้เช่นเดียวกัน

2. เงินสด 25,000 บาท โจทก์นำสืบเลื่อนลอย

3. นายอุตโมจำเลยรับรองอยู่แล้วว่าครอบครองมรดกแทนนายเจริญด้วย และโจทก์ฟ้องขอส่วนแบ่งเพียง 1 ใน 9 ส่วนเท่านั้น จะอุทธรณ์เกินคำขอตามฟ้องโจทก์ไม่ได้

โจทก์และจำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์เรื่องเงินสด 25,000 บาทโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ ส่วนฎีกาของจำเลยเรื่องพินัยกรรมนั้นเห็นว่าพินัยกรรมฉบับนี้มีพยานลงชื่อในช่องพยานสองคน คือนายโตกับนายชมและนายเก็บลงช่องผู้เขียน ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะทำพินัยกรรมมีนายโตพยานคนเดียวเป็นคนจัดทำให้โดยนายเก็บเป็นคนเขียน ส่วนนายชมไปเก็บน้ำตาลเสีย ไม่ได้อยู่รู้เห็นด้วยในขณะทำพินัยกรรมแต่ไปลงชื่อไว้ในภายหลัง แม้จะได้สอบถามตัวนางพันเจ้ามรดกอีกหรือไม่ก็ตามย่อมเรียกไม่ได้ว่านายชมเป็นพยานในพินัยกรรมนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656

ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่านายเก็บได้อยู่รู้เห็นร่วมกับนายโตตลอดเวลา ควรรับฟังว่านายเก็บเป็นพยานในพินัยกรรมด้วยได้และอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 363/2492 ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าพยานในพินัยกรรมฉบับนี้เซ็นชื่อกันไว้ตอนบนส่วนหนึ่งต่างหากซึ่งนายเก็บมิได้เกี่ยวข้องร่วมอยู่ด้วยแต่อย่างใดเลย ต่อจากนั้นลงไปเป็นหมายเหตุแสดงให้รู้ว่าพินัยกรรมทำกันกี่ฉบับ ใครเป็นผู้เก็บรักษาซึ่งนายเก็บได้เซ็นชื่อในตอนล่างนี้ และแสดงฐานะว่าตนเป็นแต่เพียงผู้เขียนเท่านั้น นายเก็บจึงมีฐานะเป็นผู้เขียนพินัยกรรมแต่อย่างเดียว ไม่ใช่พยานในพินัยกรรมฉบับนี้ เทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ 296/2492 ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงต่างกันมาก

อนึ่งนางพันผู้ทำพินัยกรรมได้พิมพ์นิ้วมือไว้ต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนในขณะนั้น แต่มีนายโตเซ็นชื่อรับรองในขณะนั้นเพียงคนเดียวไม่ชอบตามมาตรา 1665 พินัยกรรมฉบับนี้จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1656 และ 1705

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์และจำเลย

Share