แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367โจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนส. ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้สมอ้างศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายเสรีสุชาตะประคัลภ์ ตามคำสั่งศาลชั้นต้น นายเสรีเป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 63.7 ตารางวาตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลหนองกินเพล (เดิมตำบลบุ่งหวาย)อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยซื้อจากนายลี พรมเสนาสามีจำเลย นายลีสละการครอบครองให้แก่นายเสรีนับแต่วันซื้อขายแต่นายเสรีให้นายลีและจำเลยครอบครองแทน นายเสรีถึงแก่ความตายเมื่อปี 2528 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2536 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเสรีได้บอกกล่าวให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้กองมรดกของนายเสรีขาดรายได้จากการให้เช่าที่ดินปีละ 7,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 7,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกของนายเสรีสุชาตะประคัลภ์ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นภริยานายลี พรมเสนา และเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน63.7 ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลหนองกินเพล (บุ่งหวาย)อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า นายเสรีมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่โจทก์เบิกความว่า นายเสรีบิดาโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายลี พรมเสนา สามีจำเลยเมื่อปี 2519 เป็นเงิน 3,500 บาทนายลีและจำเลยได้สละการครอบครองและมอบที่ดินพิพาทให้แก่นายเสรีแล้วตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 แต่นายเสรียังให้นายลีและจำเลยทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อไป เมื่อนายเสรีถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ตรวจพบสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.5จึงไปตรวจดูที่ดินพิพาทพบจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยยอมรับว่าได้ขายที่ดินให้นายเสรีจริง ขอทำประโยชน์แทนไปก่อน จำเลยเบิกความว่า เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว มีลูกน้องของนายเสรีมาติดต่อขอซื้อที่พิพาทจากนายลีจำนวน 5 ไร่ นายลีตกลงขายให้ราคาไร่ละ 500 บาท โดยวางเงินมัดจำไว้ 500 บาท ส่วนที่เหลือให้นายลีไปรับที่สำนักงานของนายเสรี นายลีไปติดต่อขอรับเงิน3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับเงิน นายลีจึงไม่ขายที่ดินให้นายเสรีและนายลีคงทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงแก่ความตายเมื่อนายลีตายแล้ว จำเลยกับนายบุญมีบุตรจำเลยได้ทำประโยชน์ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ดังนี้เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินอยู่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายเสรี ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์แต่ตามที่โจทก์นำสืบมีเพียงคำเบิกความของโจทก์ปากเดียว อ้างว่านายลีและจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายเสรีโดยไม่มีพยานอื่นใดมาเบิกความสนับสนุนสำหรับเอกสารหมาย จ.5 ที่โจทก์อ้างว่านายลีทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่นายเสรี คงมีแต่ลายมือชื่อของนายลีเพียงผู้เดียว นายเสรีหาได้ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวด้วยไม่ ถือไม่ได้ว่าเอกสารนั้นเป็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่านายลีทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้นายเสรีแล้วและถ้าหากนายลีได้ขายที่ดินพิพาทให้นายเสรีจริง และส่งมอบการครอบครองให้แล้ว นายเสรีประสงค์จะให้นายลีหรือจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนตน นายเสรีก็ต้องทำเป็นหลักฐานไว้ทั้งนายเสรีก็เป็นทนายความมีความรู้กฎหมายดีอยู่แล้วคงไม่ปล่อยปละละเลยไว้จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 10 ปี จนนายเสรีถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่านายลีได้ขายที่ดินพิพาทให้นายเสรี และนายเสรีได้มอบให้นายลีครอบครองที่ดินพิพาทแทนดังโจทก์ฟ้อง เมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว ฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว
พิพากษายืน