คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
สัญญาเช่าซื้อกำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่โจทก์เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้า อันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคแรก ซึ่งถ้าศาลกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ค่าเสียหายอันเป็นเบี้ยปรับเสียเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งมอบคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๓๒๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเงิน ๔๗,๒๗๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของเงินทั้งสองจำนวน นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันชำระค่าใช้สอยรถยนต์วันละ ๕๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาจนครบถ้วน
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าเป็นมารดาของนายพีรชาติ เงินขาว นายพีรชาติเช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ ช – ๘๖๕๑ กรุงเทพมหานคร จากโจทก์ แต่ได้เสียชีวิตแล้ว หากจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรมของนายพีรชาติ ก็เป็นจำนวนเพียง ๑๕๑,๘๓๗ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลจึงพิจารณาคดีเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระราคาแทนเป็นเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๑) จนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแต่ไม่เกิน ๖ เดือน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก เฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้รับผิดเพียงเท่าที่ทรัพย์มรดกของนายพีรชาติ เงินขาว ตกได้แก่ตน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาขอค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจำนวน ๔๗,๒๗๖ บาท และค่าขาดประโยชน์เพิ่มอีก ๑๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๙,๒๗๖ บาท ทุนทรัพย์พิพาทชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อความในหนังสือสัญญาเช่าซื้อที่ว่า แม้ในที่สุดต่อไปภายหน้าสัญญาต้องเลิกกัน ผู้เช่าซื้อตกลงที่จะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาจนครบถ้วนแก่เจ้าของจนถึงวันที่เจ้าของได้รับรถยนต์คืนหรือวันบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เป็นข้อสัญญาจะให้เบี้ยปรับหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๘ ประกอบมาตรา ๒๔๗
กรณีจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อผิดนัดผิดสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๔ ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิแก่โจทก์ประการอื่นนอกเหนือจากการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินและริบเงินที่ส่งมาแล้ว หากโจทก์ยังเสียหายโจทก์ก็ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑ วรรคสอง ที่ให้โจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อค้างชำระก่อนเลิกสัญญาจนครบถ้วนแก่เจ้าของจนถึงวันที่โจทก์ได้รับรถยนต์คืนหรือวันบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นข้อสัญญาที่กำหนดความรับผิดในความเสียหายเนื่องจากการไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ซึ่งถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเบี้ยปรับถูกต้องแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ให้ค่าเสียหายส่วนนี้เสียเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตราใดที่ให้อำนาจศาลที่จะงดเบี้ยปรับเสียทั้งหมด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเบี้ยปรับจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามชำระเงินอีก ๑๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share