แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยแจ้งตำรวจให้จับ ฮ. และ ช. เป็นเรื่องจำเลยลองแกล้งแจ้งความเพื่อให้โจทก์อายไม่กล้าใช้ใครไปเก็บมะม่วงอีก และให้ตำรวจจับโจทก์ในฐานะจ้างวานใช้ด้วยนั้น เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น โดยโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า โจทก์ใช้ให้ ฮ. ไปเก็บมะม่วง จำเลยแจ้งความให้ตำรวจจับโจทก์ โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้องดังฎีกาของโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
แม้โจทก์จะชรามากแล้ว แต่โจทก์มีเงินฝากธนาคารออมสินมีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ 7 ไร่ปีละประมาณ 700 – 1,500 บาทมีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ 30 – 40 บาท รวมเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 บาทเศษ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาจำเลย โจทก์ยกที่ดินให้แก่จำเลยและบุตรอีก ๒ คน เนื่องจากโจทก์ชรามากและไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ต่อมาเมื่อโจทก์ไปขอเงินจากจำเลย จำเลยไม่ให้ ทั้งที่จำเลยยังแข็งแรงประกอบอาชีพสามารถให้โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ใช้ให้บุตรคนหนึ่งไปเก็บมะม่วงในที่ดินดังกล่าวเพื่อนำมาขายเอาเงินเลี้ยงชีพก็ถูกจำเลยขัดขวางและแจ้งตำรวจจับโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการผิดศีลธรรม ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ทั้งบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับสามารถจะให้ได้ เป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่ยกให้จำเลยคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเพื่อแลกเปลี่ยนที่ดินที่จำเลยมีสิทธิได้รับอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นมรดกของมารดาจำเลย โจทก์มีฐานะและรายได้ดี โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ยากไร้ ไม่มีสิทธิฟ้องขอคืนที่พิพาทจากจำเลย จำเลยไม่เคยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงชีพโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เข้าข่ายประพฤติเนรคุณต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยแจ้งตำรวจให้จับ ฮ.และ ช. เป็นเรื่องจำเลยลองแกล้งแจ้งความเพื่อให้โจทก์อายไม่กล้าใช้ใครไปเก็บมะม่วงอีกและเพื่อให้ตำรวจจับโจทก์ในฐานะผู้จ้างวานใช้ด้วย เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น โดยโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า โจทก์ใช้ให้ ฮ. ไปเก็บมะม่วง จำเลยแจ้งความต่อตำรวจให้จับโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการผิดศีลธรรม ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้องดังฎีกาของโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ตกเป็นผู้ยากไร้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๑(๓) เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ ๗ ไร่ ปีละประมาณ ๗๐๐ – ๑,๕๐๐ บาท มีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ ๓๐ – ๔๐ บาท โจทก์จึงมีรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๑,๐๐๐ บาทเศษ และมีเงินฝากในธนาคารออมสิน โจทก์จึงไม่ใช่อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพของโจทก์ แม้โจทก์ชราแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเพื่อเรียกถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๑(๓)
พิพากษายืน