คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แต่การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นใหม่ในการพิพากษาคดีว่าจำเลยมีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์หรือไม่ก็เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวเพราะหากวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์แล้วการที่จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ก็จะเป็นการไม่ชอบหรือชอบด้วยกฎหมายนั่นเองหาเป็นการพิพากษานอกประเด็นข้อพิพาทไม่ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำเลยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหารตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ.2527มาตรา25(3)และ(4)กำหนดหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนไว้ว่าปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมายเมื่อไม่ปรากฎว่าคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดระเบียบให้จำเลยเป็นผู้ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์และคณะรัฐมนตรีก็มิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการแทนโจทก์อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่183)พ.ศ.2530พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า(ฉบับที่204)พ.ศ.2532และ(ฉบับที่211)พ.ศ.2533ก็มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์จำเลยจึงปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 183) พ.ศ. 2530 ให้ยกเว้นภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลดิบเฉพาะที่ขายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2530 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2531 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 204) พ.ศ. 2532ให้ลดอัตราภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลดิบโดยให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับเฉพาะกรณีที่ขายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2531 ถึงวันที่ 23มกราคม 2532 โจทก์เคยแจ้งแก่จำเลยเพื่อขอให้ดำเนินการให้โจทก์ได้รับคืนภาษีจากการลดหรืองดเก็บภาษีเช่นเดียวกับโรงงานน้ำตาลทรายอื่น แต่จำเลยปฏิเสธที่จะดำเนินการให้โดยอ้างว่าโจทก์มิใช่โรงงานตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 และไม่อยู่ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย การที่จำเลยไม่ดำเนินการขอรับภาษีคืนจากกรมสรรพากรแทนโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่พึงจะได้รับ ซึ่งโจทก์ได้ชำระภาษีการค้าไปแล้วในฤดูการผลิตปี 2530/2531 เป็นเงิน 1,200,556 บาท และฤดูการผลิตปี 2531/2532เป็นเงิน 2,869,217 บาท นอกจากนี้กรมสรรพากรยังให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มอีก 836,796 บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีทั้งสิ้น 4,906,569 บาทขอให้บังคับ จำเลยรับมอบหนังสือมอบอำนาจหรือสรรพเอกสารตามที่จำเลยเคยรับและปฏิบัติให้แก่โรงงานน้ำตาลอื่น ๆ เพื่อขอรับเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากรเป็นจำนวนเงิน 4,906,569 บาท หรือจำนวนเงินตามที่คำนวณได้โดยถูกต้อง แล้วให้จำเลยชำระคืนให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคืนจากกรมสรรพากร หากจำเลยรับเงินจากกรมสรรพากรแล้ว ไม่ยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ภายในกำหนดดังกล่าว ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15ต่อปีของเงินจำนวน 4,906,569 บาท นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะคืนเงินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการที่รัฐบาลลดภาษีให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายก็เพื่อให้นำเงินภาษีที่ลดนั้นไปชำระหนี้สินที่ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืมมาในฤดูการผลิตปี 2525/2526 เป็นเงิน 78,000,000ดอลลาร์สหรัฐ และเนื่องจากโจทก์มิได้อยู่ในระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ และโจทก์ไม่ได้รับการจัดสรรปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายดิบ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ. 2527 จากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกเงินภาษีคืนสำหรับฤดูการผลิตปี 2530/2531 และ 2531/2532และไม่มีสิทธิที่จะบังคับจำเลยให้รับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารอื่น ๆ ในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 โจทก์ผลิตน้ำตาลทรายแดงจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 173) พ.ศ. 2529 ให้ยกเว้นภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทรายน้ำตาลทรายดิบ หรือน้ำตาลดิบ ทั้งนี้เฉพาะที่ขายในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2530โจทก์ได้รับการยกเว้นภาษีการค้าด้วย และได้รับคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยว่าโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527แต่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประชุมแล้วก็มิได้มีคำสั่งให้โจทก์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด โจทก์จึงยังมิได้อยู่ในระบบแบ่งปันผลประโยชน์และไม่ได้รับการจัดสรรปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายดิบ ต่อมามีการออกพระราชกฤษฎีกาจำนวน 3 ฉบับ คือพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 183)พ.ศ. 2530 ให้ยกเว้นภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลดิบ ทั้งนี้ เฉพาะที่ขายในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 24มกราคม 2530 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2531 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 204)พ.ศ. 2532 ให้ลดอัตราภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลดิบ โดยคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับเฉพาะที่ขายในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2531 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2532 ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้ผลิตได้นำเงินเท่าจำนวนที่ได้รับการลดอัตราภาษีการค้าส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทราย หรือได้จัดให้มีสัญญาประกันที่เชื่อถือได้ และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 211)พ.ศ. 2533 ให้ลดอัตราภาษีการค้าสำหรับน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายดิบหรือน้ำตาลดิบโดยคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับ ทั้งนี้เพราะที่ผลิตและขายในราชอาณาจักรดังต่อไปนี้ (1) สำหรับรายรับจากการขายตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2532 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2533เฉพาะกรณีที่ผู้ผลิตได้นำเงินเท่าจำนวนที่ได้รับการลดอัตราภาษีการค้าส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายหรือได้จัดให้มีสัญญาประกันสำหรับจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมด้วยหลักประกันที่เชื่อถือได้ โจทก์เสียภาษีการค้าสำหรับฤดูการผลิตปี 2530/2531 และ 2531/2532 เป็นเงิน 4,906,569 บาท จึงขอให้จำเลยดำเนินการขอรับภาษีการค้าคืน จำเลยไม่ดำเนินการให้ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายครั้งที่ 7/2533มีความเห็นว่า 1. การที่รัฐบาลลดภาษีให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายนั้นมีวัตถุประสงค์ให้นำเงินไปชำระหนี้สินที่ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้กู้ยืมมาในฤดูการผลิตปี 2525/2526 ซึ่งในปัจจุบันหนี้ดังกล่าวเป็นภาระของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่จะต้องชำระ และอีกส่วนหนึ่งให้นำไปใช้จ่ายในกิจการอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ดังนั้น การจัดสรรเงินที่ได้รับจากการคืนภาษีให้แก่โรงงาน คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจึงต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการลดภาษีของรัฐบาล โดยได้กำหนดให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นผู้ขอรับคืนภาษีแทนโรงงาน แล้วให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายหักเงินที่ได้รับตามภาระความรับผิดชอบตามสัดส่วนปริมาณอ้อยที่เข้าหีบและปริมาณน้ำตาลทรายที่ผลิตได้ของแต่ละโรงงาน ซึ่งได้รับจากจัดสรรปริมาณการผลิตจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527ส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้และใช้จ่ายในกิจการอื่นตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วจึงจ่ายคืนให้แต่ละโรงงานต่อไป 2. เนื่องจากโรงงานของโจทก์มิได้อยู่ในระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ ประกอบกับไม่ได้รับการจัดสรรปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายดิบตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 จากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายแต่อย่างใด นอกจากนี้การขอรับคืนภาษีนั้นจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศของกระทรวงการคลังหรือพระราชกฤษฎีกา ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศหรือพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลจึงไม่อาจดำเนินการตามคำขอของโจทก์ได้ โจทก์ฎีกาประการแรกว่าศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษานอกประเด็นข้อพิพาท กล่าวคือ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 3. ว่าจำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ในการพิพากษาคดีศาลชั้นต้นกลับตั้งประเด็นใหม่ว่า จำเลยมีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์หรือไม่แล้ววินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เห็นว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ เพราะหากวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ขอคืนภาษีการค้าจากกรมสรรพากรแทนโจทก์แล้ว การที่จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ก็จะเป็นการไม่ชอบหรือชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง
โจทก์ฎีกาประการต่อไปว่า จำเลยปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจำเลยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหาร ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาตรา 25(3) และ (4) กำหนดหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนไว้ว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย คดีนี้ไม่ปรากฎว่าคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดระเบียบให้จำเลยเป็นผู้ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ และคณะรัฐมนตรีก็มิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการแทนโจทก์ อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 183)พ.ศ. 2530 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีการค้า (ฉบับที่ 204) พ.ศ. 2532 และ (ฉบับที่ 211)พ.ศ. 2533 ก็มิได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ขอรับคืนภาษีการค้าแทนโจทก์ ประกอบกับโรงงานโจทก์ยังมิได้เข้าอยู่ในระบบการแบ่งปันผลประโยชน์และไม่ได้รับการจัดสรรปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายดิบตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527ดังนี้ จำเลยจึงปฏิเสธที่จะรับหนังสือมอบอำนาจและเอกสารในการขอคืนภาษีการค้าของโจทก์มาดำเนินการขอคืนภาษีการค้าให้โจทก์ได้
พิพากษายืน

Share