คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความแต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องเมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันที ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรงศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลตากฟ้า (ตาคลี) อำเภอตากฟ้า (ตาคลี) จังหวัดนครสวรรค์โดยโจทก์ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นในคดีแพ่ง ซึ่งคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 4 และที่ 5 แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้เต็มพื้นที่ เนื่องจากในที่ดินมีบ้านและยุ้งข้าวของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ปลูกอยู่ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะหากนำที่ดินในส่วนที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านและยุ้งข้าวอยู่ดังกล่าวออกให้เช่าก็จะได้ค่าเช่าในอัตราปีละ 2,400 บาท จำเลยทั้งสองอยู่มารวม 2 ปี จึงคิดเป็นเงินค่าเสียหายรวม 4,800 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารของจำเลยออกไปจากที่ดิน น.ส.3 ของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์จัดการรื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่ารื้อถอนให้แก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 4,800 บาทชดใช้ค่าเสียหายในอัตราปีละ 2,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองปลูกบ้านและยุ้งข้าวในที่ดินของจำเลยทั้งสองเอง ซึ่งอยู่นอกที่ดิน น.ส.3 ทั้งสองแปลงที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาด เป็นที่ดินตกสำรวจ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดินส่วนค่าเสียหายก็มีไม่ถึงดังที่โจทก์ฟ้อง ที่ดินดังกล่าวให้เช่าได้ปีละไม่เกิน 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตำบลตากฟ้า (ตาคลี) อำเภอตากฟ้า(ตาคลี) จังหวัดนครสวรรค์ ของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่รื้อถอนก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 4,000 บาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายในอัตราปีละ 2,400บาท แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันฟ้อง (8 เมษายน 2528) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นายบุญชู ทะนะแสงทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 2อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีประเด็นที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เป็นประเด็นไว้โดยตรงในศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์เกิน1 ปี โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจที่จะยกมาตรา 1375 ขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความแต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้อง เมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันที ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วศาลชั้นต้นนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
สำหรับประเด็นที่ว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย… โจทก์ยังคงมีสิทธิครอบครองอยู่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share