คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อมีการมอบอำนาจให้จัดการฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินแล้วก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วย.
หญิงมีสามีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนบุคคลอื่นโดยมิได้กระทำการใดๆผูกพันสินบริคณห์แต่อย่างใด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เจ้าของตึกพิพาทเป็นผู้ทำสัญญาให้เช่า เมื่อจะบอกเลิกการเช่า ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้บอกเลิก
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้มาแต่ต้น ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยจะอ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะควบคุมจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 จำเลยจะต้องให้การตั้งประเด็นต่อสู้คดี อ้างสิทธิพิเศษขึ้นมาโดยชัดแจ้ง

ย่อยาว

โจทก์ผู้รับมอบอำนาจฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยจากที่เช่าฐานผิดสัญญาและสัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว โจทก์ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยแต่จำเลยขัดขืนกับขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะมิได้รับมอบอำนาจให้จัดการเกี่ยวกับห้องพิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากสามี เจ้าของตึกพิพาทยอมให้จำเลยเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาและโจทก์หรือเจ้าของตึกเช่าไม่เคยบอกเลิกการเช่ากับจำเลยขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกพิพาท โจทก์มิได้ทำการเกี่ยวกับสินบริคณห์จึงฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วและจำเลยค้างชำระค่าเช่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าตึกพิพาทเป็นทรัพย์ส่วนควบของที่ดินเมื่อมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับที่ดินแล้ว ก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วยที่จำเลยฎีกาว่าตึกพิพาทตามฟ้องตั้งอยู่คนละแห่งกับที่ระบุในใบมอบอำนาจ ไม่ได้เป็นประเด็นต่อสู้มาแต่ต้นจึงไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นหญิงมีสามี แต่มิได้กระทำการใด ๆ เป็นการผูกพันสินบริคณห์ จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี เจ้าของห้องพิพาทได้บอกเลิกการเช่าโดยชอบแล้ว จำเลยค้างชำระค่าเช่าจริง และจำเลยมิได้อ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะและได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share