แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาซื้อขายรถยนต์โดยขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนทำการแสดงเจตนาของจำเลยแม้โจทก์ไม่ได้มีคำขอให้บังคับจำเลยไปการยื่นคำร้องขอใดๆเพื่อขอถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนก็ตามแต่ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็เพื่อต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยจะต้องไปดำเนินการเพื่อให้ถอนชื่อของจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์เสียก่อนมิฉะนั้นโจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนได้การที่ศาลบังคับให้จำเลยไปดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วให้ใส่ชื่อโจทก์แทนจึงเป็นการถูกต้องเพราะถ้าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็จะได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยเป็นกรณีที่ให้คำพิพากษาและคำขอบังคับสามารถมีผลบังคับใช้ได้จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2532 โจทก์ซื้อรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน หมายเลขเครื่องยนต์ ทีดี 25-เอส 15644ราคา 260,000 บาท จากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ตกลงขายรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิซิ กาแลนท์ หมายเลขทะเบียน 4 ง-6809 กรุงเทพมหานครราคา 220,000 บาท ของโจทก์แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่6 มีนาคม 2532 จำเลยที่ 1 และโจทก์ต่างส่งมอบรถที่ขายให้แก่กันโจทก์ได้ชำระเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มแก่จำเลยที่ 1 เป็นเช็คธนาคารหลังจากซื้อรถจากจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ได้นำรถไปดัดแปลงสภาพเป็นรถแวน และได้ลงชื่อในเอกสารจดทะเบียนรถมอบแก่จำเลยที่ 1เพื่อให้ดำเนินการขอเลขทะเบียนรถให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน2532 จำเลยที่ 1 ได้มอบสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถซึ่งระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม2532 ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2532 การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถจดชื่อโจทก์เป็นเจ้าของลงในทะเบียนรถได้ ขอให้เพิกถอนชื่อของจำเลยที่ 2 ออกจากรายการจดทะเบียนรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสัน หมายเลขเครื่องยนต์25-เอส 15644 หมายเลขทะเบียน 4 ห-8209 กรุงเทพมหานคร และให้จดชื่อของโจทก์ลงในรายการจดทะเบียนรถคันดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท โดยซื้อมาจากนายสมเกียรติ สุธรรมวุฒินันท์เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2532 แล้วจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถคันดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2532 ในราคา 282,708 บาทมีนายอุดม ลี้เจริญรักษา เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกัน จำเลยที่ 1ต้องส่งมอบรถคันดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 กลับเบียดบังเอาไปขายโจทก์โดยทุจริตและสมคบกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายปลอมนั้นโดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ต่อกันขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์คืนรถยนต์พิพาทหมายเลขทะเบียน 4 ห-8209กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยที่ 2 ในสภาพเรียบร้อยโดยค่าใช้จ่ายของโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 270,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2532 และส่งมอบรถกันวันที่ 6 มีนาคม 2532โจทก์ชำระค่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวด้วยรถของโจทก์ตีราคาเป็นเงิน220,000 บาท และเช็คธนาคารกสิกรไทย จำนวนเงิน 40,000 บาทโจทก์ครอบครองรถยนต์พิพาทนับแต่ซื้อตลอดมาจนปัจจุบัน บุคคลที่ลงนามในสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเป็นบุคคลที่คู่สัญญาได้แจ้งให้ทราบต่อกันว่าเป็นตัวแทนของแต่ละฝ่าย สัญญาจึงมีผลบังคับได้จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์และโจทก์ได้ชำระราคาแล้วกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทจึงเป็นของโจทก์ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2532ไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่ได้โต้แย้งจำเลยที่ 2 เพราะถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ได้โต้แย้งจำเลยที่ 1 ให้แก้ชื่อทางทะเบียนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำสัญญาเช่าซื้อและเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนรถยนต์โดยไม่ชอบขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาท ยี่ห้อนิสสัน บิ๊กเอ็ม กระบะสีขาว หมายเลขเครื่องยนต์25-เอส 15644 หมายเลขทะเบียน 4 ห-8209 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาประการสุดท้ายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินคำขอเพราะโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 2 ออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทแล้วใส่ชื่อโจทก์แทนเท่านั้นไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไปกระทำการยื่นคำร้องขอใด ๆเพื่อขอถอนชื่อจำเลยที่ 2 ออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทแล้วใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็เพื่อต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 2 ถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 2 จะต้องไปดำเนินการเพื่อให้ถอนชื่อของจำเลยที่ 2 ออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทเสียก่อน มิฉะนั้น โจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทน ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยที่ 2ไปดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทแล้วให้ใส่ชื่อโจทก์แทน จึงเป็นการถูกต้อง เพราะถ้าหากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามก็จะได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2เป็นกรณีที่ให้คำพิพากษาและคำขอบังคับสามารถมีผลใช้บังคับได้จึงไม่ใช่กรณีพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน