แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดต่อประมวลกฎหมายที่ดินลงโทษจำเลยกับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล เมื่อได้ความตามทางไต่สวนว่าบ้านของจำเลยบางส่วนซึ่งจำเลยอ้างว่าอยู่นอกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อยู่ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ จำเลยก็ต้องออกไปจากที่ดินนั้น
ย่อยาว
ชั้นบังคับคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9(1), 108 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 จำคุก 3 เดือน 5 วัน ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่ายังไม่ออกไป ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามฟ้อง ภายใน 15 วันนับแต่วันมีคำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่า หลังจากที่ศาลพิพากษาลงโทษและสั่งให้จำเลยออกไปจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองโดยปลูกบ้านอยู่อาศัยแล้ว จำเลยก็ไม่ยอมออกไปและไม่รื้อถอนบ้านที่ปลูกออกไป พันตำรวจตรีประจักษ์ สิทธิยานันท์ สารวัตรเทศกิจสถานีตำรวจนครบาลบุปผารามเป็นผู้ไปตรวจบ้านที่จำเลยปลูกรุกล้ำที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ปรากฏว่าจำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่ปลูกอยู่ในคลองบุปผารามออกไปแล้ว บ้านส่วนที่ปลูกอยู่ริมคลองยังไม่ได้รื้อถอนออกไป
จำเลยนำสืบว่า จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทมานาน 14 ปีแล้วจำเลยปลูกบ้าน 1 หลัง กว้าง 4 เมตร ยาว 12 เมตร ปลูกอยู่ริมคลองบุปผารามซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดเลขที่ 2111 ของผู้มีชื่อ ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมาจำเลยได้ปลูกบ้านลงในคลองบุปผารามอีก 1 หลัง ห่างบ้านหลังแรก 1 เมตร เพราะบ้านหลังแรกคับแคบไม่พออยู่อาศัย จำเลยได้รื้อบ้านหลังที่ปลูกอยู่ในคลองออกไปตามคำสั่งศาลตั้งแต่เดือนกันยายน 2524 แล้ว
จำเลยฎีกาว่า ที่ดินริมคลองบุปผารามที่จำเลยปลูกบ้านอยู่เป็นที่ดินของเอกชนโฉนดเลขที่ 2111 หาใช่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ พิเคราะห์แล้ว นายอดิสร กาญจนดำรง พยานโจทก์ซึ่งรับราชการในตำแน่งนายช่างรังวัดเบิกความว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2523 ได้ออกไปรังวัดตรวจสอบที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ ปรากฏว่าบ้านของจำเลยส่วนหนึ่งปลูกคร่อมอยู่บนที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และอีกส่วนหนึ่งคร่อมที่ดินของเอกชน และได้ความจากพันตำรวจตรีประจักษ์ สิทธิยานันท์สารวัตรเทศกิจ สถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม ซึ่งได้ออกไปตรวจที่ดินแปลงนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2524 ว่า จำเลยยังมิได้รื้อถอนบ้านที่ปลูกอยู่ริมคลองบุปผารามออกไป และยังได้ความว่านับตั้งแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้แล้ว จำเลยไม่เคยโต้แย้งเลยว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของเอกชน เป็นแต่จำเลยผัดผ่อนขอเวลาศาลเพื่อหาที่อยู่ใหม่ตลอดมาต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2524 และวันที่ 4 ธันวาคม 2524 จำเลยก็แถลงต่อศาลว่าจำเลยได้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินตามฟ้องแล้วจำเลยเพิ่งจะมาโต้แย้งว่า บ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของเอกชนภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยแล้วถึง 2 ปีเศษ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 22 ธันวาคม 2524 ข้อต่อสู้ของจำเลยขัดต่อเหตุผลหามีน้ำหนักไม่ เชื่อได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า บ้านของจำเลยที่ปลูกอยู่ริมคลองบุปผารามนั้นบางส่วนปลูกอยู่บนที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน