คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ในวันทำสัญญา ผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ให้เช่าซื้อแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนค่าเช่าที่เหลือจะชำระในวันที่กำหนดในสัญญาอีกงวดหนึ่ง ถือได้ว่าได้มีการตกลงชำระค่าเช่าซื้อกันเป็น 2 งวด และข้อตกลงว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดสัญญาเช่าซื้อทั้งหมดไม่ขัดต่อมาตรา 574 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้วนอกจากผู้ให้เช่าซื้อจะมีสิทธิเอาทรัพย์คืนและริบเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้ว ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตามที่ตกลงไว้ในสัญญาด้วย
คำฟ้องบังคับให้ผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อ โดยมิได้บรรยายถึงว่า ผู้ให้เช่าซื้อเอาทรัพย์ที่เช่าซื้อกลับคืนแล้ว ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา ไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2510 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถแทรกเตอร์กับอุปกรณ์ไปจากโจทก์ ราคา 127,500 บาทโดยจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ในวันทำสัญญา 70,000 บาทส่วนที่เหลือ จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระให้เป็นหนึ่งงวดในวันที่ 25 มีนาคม 2511 โดยจะชำระ 57,500 บาท หากผิดนัด จำเลยที่ 1 ยอมชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เต็มสัญญา รวมทั้งค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทันที พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เซ็นสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ จำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อขอให้พิพากษาบังคับจำเลยชำระเงิน 57,500 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ก่อนยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยผิดนัด เพราะจำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว และจำเลยบอกเลิกสัญญาให้โจทก์มารับรถคืนไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2511 ครั้นเดือนเมษายน 2511 โจทก์จึงมารับรถคืน สัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุดลงทันทีเงิน 70,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ ก็เท่ากับค่าเช่าโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ 57,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกไม่ได้ สภาพสัญญาตามฟ้องตกเป็นโมฆะ ตามสัญญาเช่าซื้ออันเป็นมูลที่โจทก์ฟ้องกำหนดชำระหนี้งวดเดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 บัญญัติว่าผู้ซื้อจะต้องผิดนัด 2 คราวติด ๆ กัน กรณีของจำเลยจึงยังไม่อยู่ในฐานะผิดสัญญาโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยไม่บรรยายว่าโจทก์ได้รับรถคืนไปแล้ว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขัดต่อมาตรา 574 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่ได้บอกเลิกสัญญาคืนรถแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 1 แต่โจทก์เอารถคืนมาแล้วสัญญาเช่าซื้อระงับไป โจทก์จึงมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระแล้ว และยังมีสิทธิเรียกร้องเงินจากจำเลยได้ตามสัญญา พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้เงิน20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาหมายเลข จ.1 ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อเพราะมีข้อตกลงให้ชำระราคารถเพียงงวดเดียว ไม่ได้ตกลงแบ่งชำระราคารถออกเป็นงวด ๆ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระราคารถที่เหลืออีก 57,500 บาท ตามสัญญาโจทก์ยึดรถคืน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและถือว่าโจทก์ได้เลิกสัญญากับจำเลยแล้วโดยปริยาย ทั้งนี้ ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิที่โจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหาย และพิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญานี้ ได้มีการชำระเงินค่าเช่าซื้อกันเป็น 2 งวด ๆ แรกคือในวันทำสัญญา เป็นเงิน 70,000 บาท ส่วนค่าเช่าซื้อที่เหลือ 57,500 บาท จะชำระกันในวันที่ 25 มีนาคม 2511หาได้มีการตกลงชำระเงินกันงวดเดียวไม่ และในสัญญา ข้อ 12 ระบุว่า”ถ้าผู้เช่าผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ว่างวดใดงวดหนึ่ง ผู้เช่ายินยอมให้ถือว่าผิดนัดสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด…ฯลฯ” ก็มีผลใช้บังคับได้ ไม่ขัดต่อบทบัญญัติในมาตรา 574 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 57,500 บาท ให้โจทก์ตามนัดโจทก์ก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญา ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้ว และเอารถคืนได้ผลจากการเลิกสัญญา นอกจากโจทก์จะมีสิทธิเอารถคืนและริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้วจำเลยยังจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามสัญญาข้อ 10, 12 อีกด้วย

ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องตามข้อเท็จจริงว่าได้เอารถพิพาทกลับคืนแล้ว เป็นการอำพรางรูปคดีและปิดบังความจริงเป็นฟ้องเคลือบคลุม นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา ไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้อง

พิพากษายืนในผลแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share