แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กระทรวงการคลังซื้อที่ดิน น.ส.3 จากจำเลยและได้จ่ายเงินทดแทนเพื่อให้จำเลยรื้อถอนอาคารจากที่ดินแล้ว ต่อมากระทรวงการคลังได้มอบการครอบครองที่ดินให้กรมชลประทานโจทก์โจทก์จึงเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาที่ดิน เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกจากที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมออกสิทธิของโจทก์จึงถูกโต้แย้ง ตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินงานเกี่ยวกับชลประทานทั่วราชอาณาจักร โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 3ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรีเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา ที่ดินดังกล่าวจำเลยได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่รัฐเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 เพื่อใช้ประโยชน์แก่การชลประทานอันเป็นกิจการของโจทก์ก่อนขายจำเลยได้ปลูกสร้างครอบครองอาคารเลขที่ 94 บนที่ดินดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้จ่ายเงินทดแทนเพื่อให้จำเลยรื้อย้ายอาคารและบอกกล่าวให้ออกไปแล้ว แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย ขอให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างอื่นใดออกไปให้พ้นเขตที่ดินโจทก์ กับห้ามจำเลยและบริวารของจำเลยเกี่ยวข้องที่ดินดังกล่าวต่อไป
จำเลยให้การว่า กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวโจทก์มิได้สังกัดกระทรวงการคลังจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกจากที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินต่อไปศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อปี 2513 กระทรวงการคลังได้จัดซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 และสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้ได้ความตามเอกสารหมาย จ.2ในช่องผู้ซื้อระบุว่า กระทรวงการคลังเพื่อประโยชน์แก่การชลประทานและได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าโจทก์เป็นผู้ติดต่อจัดซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย แสดงว่าทางราชการมีความประสงค์ที่จะซื้อที่ดินจากจำเลยเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์และยังได้ความจากคำเบิกความของนายบำรุง พัวโสพิศ นายช่างหัวหน้าโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนวชิราลงกรณ์ และนายสมทรง คำสุข หัวหน้างานจัดหาที่ดินของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ดูแลรักษาและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยโจทก์ได้ขอใช้ที่ดินพิพาทจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อสร้างที่ทำการและบ้านพักเจ้าหน้าที่ตามโครงการชลประทานจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนจำเลยมิได้นำสืบหักล้างความข้อนี้แต่อย่างใดข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า กรมธนารักษ์กระทรวงการคลัง ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้วโจทก์จึงเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยไม่ยอมออก สิทธิของโจทก์จึงถูกโต้แย้งตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน