คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจะมิได้ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง และเพิ่งมาลงลายมือชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าวในภายหลัง ก่อนที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะยื่นข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างซึ่งต่อมาก็ได้มีการเจรจาและตกลงกันได้ พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มิได้ห้ามลูกจ้างลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องเพิ่มเติม จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง ดังนี้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งเกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องย่อมมีผลผูกพันโจทก์ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง
นายจ้างและลูกจ้างต่างฝ่ายต่างก็ยื่นข้อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แต่ละฝ่ายอาจจะได้สิทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามที่เจรจาต่อรองกัน ผู้แทนลูกจ้างในคดีนี้ได้รับเลือกตั้งให้เข้าร่วมในการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการยื่นข้อเรียกร้องและได้ร่วมเจรจากับฝ่ายนายจ้างจนตกลงกันได้ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อไว้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว มาตรา 19 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ ๖,๙๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ และจ่ายค่าทำงานในวันหยุด ๕,๙๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ลูกจ้างของจำเลยยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพ การจ้างต่อจำเลยโดยมีโจทก์รวมอยู่ด้วย ทั้งสองฝ่ายตั้งตัวแทนเข้าเจรจา แต่ตกลงกันไม่ได้ ต่อมาจำเลยยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อพนักงานที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทแรงงานเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ได้เจรจาแต่ ตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงแจ้งข้อพิพาทแรงงานให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบตามกฎหมาย พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ย ในที่สุดตกลงกันได้และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๓ ซึ่งจำเลยนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไปจดทะเบียนต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานีแล้ว ตามข้อตกลงข้อ ๒ กำหนดให้มีวันทำงานสัปดาห์ละ ๖ วัน เช่นเดียวกับระเบียบข้อบังคับของจำเลย การทำงานในวันเสาร์เป็นการทำงานตามปกติ ข้อตกลงข้อ ๔ ระบุเรื่องโบนัสว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินโบนัสที่จำเลยจะจ่ายในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานบุคคล
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของโจทก์ว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องนั้น ตลอดจนลูกจ้างซึ่งมีส่วนในการเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาทุกคน” แม้โจทก์จะมิได้ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ แต่โจทก์ก็ลงลายมือชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าวในภายหลังเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ก่อนที่จำเลยจะยื่นข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างเช่นกัน ซึ่งต่อมาก็ได้มีการเจรจาและตกลงกันได้ทั้งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็มิได้ห้ามลูกจ้างลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องเพิ่มเติม จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อ ในข้อเรียกร้อง ดังนั้นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งเกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องย่อมมีผลผูกพันโจทก์ตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อสองของโจทก์มีว่า ตัวแทนของลูกจ้างที่เข้าร่วมเจรจาได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องที่นอกเหนือจากข้อเรียกร้องหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องเป็นการกระทำนอกเหนือจาก การที่ได้รับมอบหมายให้เข้าเจรจาตกลงตามข้อเรียกร้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวเกิดจาก การยื่นข้อเรียกร้องของทั้งนายจ้างและลูกจ้างซึ่งมีทั้งการขอให้เพิ่มและลดเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์อันเกี่ยวกับ การจ้างและทำงาน ซึ่งนายจ้างและลูกจ้างต่างก็มีสิทธิกระทำได้ตามเงื่อนไขและขั้นตอนในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ยื่นข้อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นนี้ แต่ละฝ่าย อาจจะได้สิทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามที่เจรจาต่อรองกัน มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้สิทธิเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวโดย ลดลงไม่ได้ตามที่โจทก์อุทธรณ์ อีกทั้งจำเลยได้ยื่นข้อเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๒ ให้มีวันทำงาน ๖ วัน ต่อสัปดาห์ และข้อ ๔ ไม่จ่ายผลตอบแทนตามที่จำเลยประกาศไว้ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ แก่ลูกจ้างที่ไม่ยินยอม รับการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ซึ่งประกาศดังกล่าวเป็นการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือน (โจทก์เป็นลูกจ้างรายวัน) และผลตอบแทนในประกาศได้ระบุถึงเงินโบนัสไว้ด้วย ดังนั้นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจึงเป็นเรื่อง ที่ปรากฏอยู่ในข้อเรียกร้องของจำเลย ผู้แทนลูกจ้างในคดีนี้ได้รับเลือกตั้งให้เข้าร่วมในการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการยื่นข้อเรียกร้องและได้ร่วมเจรจากับฝ่ายจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานี จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อไว้ การกระทำของผู้แทนลูกจ้างจึงเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ตาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.
(รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ – กมล เพียรพิทักษ์ – จรัส พวงมณี)

Share