แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องของผู้คัดค้านต่อศาลได้หรือไม่เป็นอำนาจฟ้อง แม้ผู้ร้องจะไม่ได้ยกขึ้นคัดค้านไว้ในคำร้องคัดค้านของตนแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ร้องจึงยกขึ้นฎีกาได้ ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนอกเหนือจากพินัยกรรมตามคำสั่งศาล ส่วนผู้ร้องที่ 1 กับพวกเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมและต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่ผู้คัดค้านฟ้องผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาผู้ตายครึ่งหนึ่งรวมอยู่ด้วย และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 แบ่งเงินฝากธนาคารตามพินัยกรรมให้แก่ผู้คัดค้านครึ่งหนึ่งเช่นนี้ แสดงว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมอยู่ครึ่งหนึ่งด้วย จึงมีสิทธิที่จะมาร้องขอจัดการมรดกในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมดังกล่าวอันเป็นทรัพย์มรดกคนละส่วนกันกับทรัพย์มรดกของผู้ตายนอกเหนือจากพินัยกรรมอีกได้ ไม่เป็นการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกซ้ำแต่อย่างใด คดีก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า พินัยกรรมของผู้ตายระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับเงินของผู้ตายที่ฝากธนาคารผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกลักษณะเฉพาะจึงมีสิทธิดีกว่าผู้คัดค้านในคดีนี้ พิพากษากลับให้ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิจัดการแก่เงินฝากทั้งหมดของผู้ตายที่มีอยู่ในธนาคาร ห้ามผู้คัดค้านขัดขวางการจัดการมรดกในส่วนนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลย คดีถึงที่สุดแล้วซึ่งจะเห็นได้ว่าในคดีดังกล่าวไม่มีปัญหาวินิจฉัยเรื่องเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมครึ่งหนึ่งว่าเป็นของผู้คัดค้านในคดีนี้ด้วยหรือไม่ แต่ในคดีนี้ข้อเท็จจริงยุติโดยได้มีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดว่า ผู้คัดค้านคดีนี้มีสิทธิในเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมครึ่งหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในคดีนี้ว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง และพิพากษาให้ผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง และพิพากษาให้ผู้คัดค้านเข้าจัดการมรดกร่วม จึงไม่เป็นการขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีก่อน ที่ผู้ร้องฎีกาว่า หากให้ผู้คัดค้านมาจัดการมรดกผู้ตายร่วมกับผู้ร้องในคดีนี้แล้วจะทำให้การจัดการมรดกเป็นไปด้วยความยากลำบากและเสียเวลามาก เพราะผู้คัดค้านจะคอยคัดค้านอยู่เสมอทั้งผู้คัดค้านและผู้ร้องอยู่คนละประเทศการจัดการมรดกของผู้ตายแต่ละครั้งจะต้องเดินทางไปพบกันเพื่อร่วมรับมรดกซึ่งเป็นการยุ่งยากที่จะหาเวลาว่างให้ตรงกัน ทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางจำนวนมาก ไม่สมควรที่จะให้ผู้คัดค้านจัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง เป็นข้อที่ผู้ร้องมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้านของผู้ร้อง จึงเป็นฎีกานอกประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีนี้ตั้งผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนายปี โกวินตัน โปดุวัน หรือ พี.จี.โปดูวัน หรือ ปาดินจารา โพดาวัตต์ โกวินตัน โปดูวัน ผู้ตายตามพินัยกรรม ซึ่งเป็นเงินฝากธนาคารรวม 6 แห่ง และมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11525/2525 ของศาลชั้นต้น ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายในส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตายนอกเหนือจากพินัยกรรม ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องทั้งสามจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมในคดีนี้อ้างว่าผู้ร้องทั้งสามละเลยไม่จัดการมรดกให้เสร็จตามหน้าที่ทั้งที่เวลาล่วงเลยมานานแล้ว และไม่จัดการแบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรมทั้งปรากฏว่าผู้ร้องที่ 2 เสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้ร้องที่ 1 และที่ 3ก็ไม่ประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมต่อไปจึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนผู้ร้องทั้งสามจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของผู้ตายตามคำสั่งศาลคดีนี้ และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของผู้ตายแทน
ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิรับมรดกในทรัพย์ตามพินัยกรรมของผู้ตาย ทั้งผู้ร้องทั้งสามได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกไม่เคยละเมิดต่อหน้าที่ ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนผู้ร้องทั้งสามออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมได้ในส่วนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้คัดค้านมีสิทธิในเงินฝากธนาคารตามพินัยกรรมของผู้ตายครึ่งหนึ่ง ผู้คัดค้านก็ชอบที่จะบังคับคดีเอาแก่ธนาคารที่ผู้ตายฝากเงินไว้ได้ จะใช้เหตุนี้มาร้องขอให้เพิกถอนผู้ร้องทั้งสามจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของผู้ตายไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมครึ่งหนึ่ง จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และตราบใดที่การจัดการมรดกยังไม่เสร็จสิ้นย่อมมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกหรือเพิกถอนผู้จัดการมรดกได้เสมอไม่ถือเป็นการยื่นคำร้องซ้ำ ผู้ร้องที่ 2 เสียชีวิตไปแล้วจึงขาดจากการเป็นผู้จัดการมรดกโดยไม่จำต้องมีคำสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกอีกส่วนผู้ร้องที่ 3 ไม่ประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมอีกต่อไป มีเหตุอันสมควรจะเพิกถอน ผู้ตายประสงค์จะให้มีผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมเกินกว่าหนึ่งคน จึงไม่สมควรเพิกถอนผู้ร้องที่ 1 จากการเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมพิพากษาแก้เป็นว่าให้ถอนผู้ร้องที่ 3 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมร่วมกับผู้ร้องที่ 1 โดยให้ผู้คัดค้านมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งของศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11525/2525 อยู่แล้วจึงไม่มีสิทธิจะมาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายในคดีนี้ซ้ำอีก เห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาเรื่องอำนาจที่จะยื่นคำร้องของผู้คัดค้านซึ่งเป็นอำนาจฟ้อง แม้ผู้ร้องที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นคัดค้านไว้ในคำร้องคัดค้านของตน แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงยกขึ้นฎีกาได้ ในเรื่องนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลอยู่แล้วในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11525/2525 ของศาลแพ่ง ซึ่งเป็นคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายนอกเหนือจากพินัยกรรมแต่ผู้ร้องที่ 1 กับพวกก็ได้มีคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้ให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม และต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4567/2527ของศาลชั้นต้นที่ผู้คัดค้านฟ้องผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาผู้ตายครึ่งหนึ่งรวมอยู่ด้วย และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 แบ่งเงินฝากธนาคารตามพินัยกรรมให้แก่ผู้คัดค้านครึ่งหนึ่งเช่นนี้ แสดงว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยจึงมีสิทธิที่จะมาร้องขอจัดการมรดกในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมดังกล่าว อันเป็นทรัพย์มรดกคนละส่วนกันกับทรัพย์มรดกของผู้ตายนอกเหนือจากพินัยกรรมได้ ไม่เป็นการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกซ้ำแต่อย่างใด
ส่วนปัญหาที่ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาว่า ได้เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดห้ามมิให้ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องและขัดขวางการจัดการมรดกของผู้ร้องทั้งสามไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้คัดค้านจัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องที่ 1 ในคดีนี้จึงเป็นการขัดกับคำพิพากษาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2050/2527 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า พินัยกรรมของผู้ตายระบุให้โจทก์ (ผู้ร้องทั้งสามในคดีนี้) เป็นผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับเงินของผู้ตายที่ฝากธนาคาร โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกลักษณะเฉพาะจึงมีสิทธิดีกว่าจำเลย (ผู้คัดค้านในคดีนี้) พิพากษากลับ ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิจัดการแก่เงินฝากทั้งหมดของผู้ตายที่มีอยู่ในธนาคารห้ามจำเลยขัดขวางการจัดการมรดกในส่วนนี้ และคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลยเพราะฎีกาจำเลยเป็นฎีกานอกประเด็นจึงไม่รับวินิจฉัย คดีถึงที่สุดแล้วซึ่งจะเห็นได้ว่าในคดีดังกล่าวไม่มีปัญหาวินิจฉัยเรื่องเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมครึ่งหนึ่งว่าเป็นของจำเลย (ผู้คัดค้านในคดีนี้) ด้วยหรือไม่ แต่ในคดีนี้ข้อเท็จจริงยุติโดยได้มีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ (คดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 4567/2527)ถึงที่สุดว่า ผู้คัดค้านคดีนี้มีสิทธิในเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมครึ่งหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาในคดีนี้ว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่งและพิพากษาให้ผู้คัดค้านเข้าจัดการมรดกร่วม จึงไม่เป็นการขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้น(คดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 2050/2527) เพราะข้อเท็จจริงแตกต่างกัน
ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า หากให้ผู้คัดค้านมาจัดการมรดกผู้ตายร่วมกับผู้ร้องที่ 1 ในคดีนี้แล้วจะทำให้การจัดการมรดกเป็นไปด้วยความยากลำบากและเสียเวลามาก เพราะผู้คัดค้านจะคอยคัดค้านอยู่เสมอ ทั้งผู้คัดค้านและผู้ร้องที่ 1 อยู่คนละประเทศการจัดการมรดกของผู้ตายแต่ละครั้งจะต้องเดินไปทางพบกันเพื่อร่วมรับมรดก ซึ่งเป็นการยุ่งยากที่จะหาเวลาว่างให้ตรงกันทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางจำนวนมาก ไม่สมควรที่จะให้ผู้คัดค้านจัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องที่ 1 เห็นว่า ฎีกาข้อนี้เป็นข้อที่ผู้ร้องที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้านของผู้ร้องที่ 1 กับพวกแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกานอกประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน