คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16139/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากบันทึกข้อตกลงการรับบริการชำระเงินเพื่อการสั่งสินค้าและ/หรือขอใช้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ จึงมิใช่กรณีผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไปอันมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) ทั้งไม่ใช่การฟ้องให้ชำระหนี้เงินตามสัญญาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต การฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ตามบันทึกข้อตกลง ข้อ 12 มีข้อความจำกัดความรับผิดของโจทก์ในกรณีที่โจทก์ได้รับคำสั่งซื้อตาม ข้อ 5 และจ่ายเงินให้แก่ร้านค้า (จำเลย) หรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวใน ข้อ 9 แล้ว ปรากฏในภายหลังว่า มีกรณีอื่นใดอันเป็นผลให้โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินดังกล่าวได้ไม่ว่าประการใด ๆ ก็ตาม จำเลยจะคืนเงินเท่ากับจำนวนที่ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บได้นั้นให้กับโจทก์พร้อมยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่โจทก์ได้จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวในข้อ 9 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หลังจากโจทก์นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย จำนวน 303,885.18 บาท ตามใบสั่งซื้อและ/หรือขอใช้บริการผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหรือสิ่งอื่น จำนวน 4 รายการ ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตผ่านระบบวีซ่าปฏิเสธการใช้รายการและปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลนคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดนับแต่โจทก์ได้จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีจำเลยจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่า จำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงการรับบัตรชำระเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือขอให้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ หรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 397,112.63 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 303,885,18 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 397,112.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 303,885,18 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 ธันวาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2545 จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดทำบันทึกข้อตกลงการรับบัตรชำระเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้า และ/หรือขอใช้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ กับโจทก์ โดยจำเลยเป็นร้านค้าสมาชิกของโจทก์ประสงค์จะเสนอขายสินค้าและ/หรือบริการให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตที่โจทก์เป็นสมาชิก พร้อมทั้ง ตัวแทนในการจ่ายเงินให้แก่บรรดาสมาชิก และร่วมกับบริษัทอื่นหรือสถาบันอื่นที่ออกบัตรเครดิตภายใต้ข้อตกลงร่วมกันโดยวิธีการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือบริการผ่านทางไปรษณีย์ โทรศัพท์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือสิ่งอื่นใดที่โจทก์จะได้กำหนดต่อไป โดยจำเลยตกลงขายสินค้าและ/หรือบริการให้ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถสั่งซื้อสินค้าและ/หรือขอใช้บริการของจำเลย จำเลยจะไม่เรียกเก็บเงินสดทันที แต่จะเรียกเก็บเงินค่าสินค้าและ/หรือบริการที่ลูกค้าสั่งซื้อหรือใช้บริการดังกล่าวผ่านโจทก์ทั้งจำนวนและ/หรือเป็นรายงวดตามที่โจทก์จะเห็นสมควร จำเลยตกลงเป็นผู้รับคำสั่งซื้อและส่งสินค้าและ/หรือให้บริการตามคำสั่งซื้อและ/หรือขอใช้บริการของผู้ถือบัตรให้แก่ผู้ถือบัตรโดยตรงทั้งนี้มีข้อตกลง ข้อ 12 ว่า ร้านค้า (จำเลย) รับทราบว่าในกรณีที่ธนาคาร (โจทก์) ได้รับคำสั่งซื้อตามข้อ 5 แล้ว เห็นว่า มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้และ/หรือความสมบูรณ์ของคำสั่งซื้อ ร้านค้าตกลงยินยอมให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากที่กล่าวในข้อ 9 หรือในกรณีที่ธนาคารได้รับคำสั่งซื้อตามข้อ 5 และจ่ายเงินให้แก่ร้านค้า หรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวในข้อ 9 แล้ว ปรากฏในภายหลังว่า ร้านค้าปฏิบัติผิดไปจากข้อตกลงที่ระบุไว้ในข้อตกลงฉบับนี้ หรือมีกรณีอื่นใดอันเป็นผลให้ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินดังกล่าวได้ไม่ว่าประการใด ๆ ก็ตาม ร้านค้าจะคืนเงินเท่ากับจำนวนที่ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บได้นั้นให้กับธนาคารพร้อมทั้งยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่ธนาคารได้จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวในข้อ 9 จนกว่าจะชำระให้ธนาคารเสร็จสิ้น ปรากฏว่ามีรายการสั่งซื้อและ/หรือขอใช้บริการผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และสื่ออื่น จำนวน 4 รายการ จำนวนเงิน 303,885.18 บาท ตามใบอนุมัติวงเงินและสรุปยอดรายการขายสินค้าและบริการ/ผ่านบริการ Mail Oder โจทก์นำเงินเข้าบัญชีให้กับจำเลยตามบัญชีเงินฝากร้านค้าแสดงการเข้าบัญชีของธนาคาร ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตผ่านระบบวีซ่าปฏิเสธการใช้รายการ และปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์บอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยไม่ชำระ
มีปัญหาที่เห็นสมควรวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาจำเลยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากบันทึกข้อตกลงการรับบริการชำระเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือขอใช้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ จึงมิใช่กรณีผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไปอันมี กำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ทั้งไม่ใช่การฟ้องให้ชำระหนี้เงินตามสัญญาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังที่จำเลยฎีกา การฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการสุดท้ายตามฎีกาจำเลยมีว่า จำเลยต้องรับผิดคืนเงิน 397,112.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ จำเลยรับในฎีกาว่า จำเลยได้เข้าทำบันทึกข้อตกลงในการรับชำระเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือขอใช้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ จริง เห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงข้อ 12 มีข้อความจำกัดความรับผิดของโจทก์ในกรณีที่โจทก์ได้รับคำสั่งซื้อตามข้อ 5 และจ่ายเงินให้แก่ร้านค้า (จำเลย) หรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวในข้อ 9 แล้ว ปรากฏในภายหลังว่า มีกรณีอื่นใดอันเป็นผลให้โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินดังกล่าวได้ไม่ว่าประการใด ๆ ก็ตามจำเลยจะคืนเงินเท่ากับจำนวนที่ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บได้นั้นให้กับโจทก์พร้อมยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่โจทก์ได้จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าวในข้อ 9 จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าหลังจากโจทก์นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย จำนวน 303,885.18 บาท ตามใบสั่งซื้อและ/หรือขอใช้บริการผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหรือสิ่งอื่น จำนวน 4 รายการ ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตผ่านระบบวีซ่าปฏิเสธการใช้รายการและปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดนับแต่โจทก์ได้จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีจำเลยจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่า จำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงการรับบัตรชำระเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้าและ/หรือขอให้บริการของร้านค้าผ่านสื่อต่าง ๆ หรือไม่ ฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share