แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์แต่งงานกับบุตรจำเลย จำเลยได้ขายเรือนของจำเลยให้แก่โจทก์เป็นเรือนหอ ซึ่งในขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยายังใช้กฎหมายลักษณะผัวเมียอยู่ ซึ่งตามกฎหมายนั้นเรือนหอเป็นสินเดิมของฝ่ายที่ออกทรัพย์ ปัญหาว่ากรรมสิทธิ์ในเรือนหอเป็นของใคร จึงอยู่ที่ว่าได้ชำระราคากันแล้วหรือยัง หาใช่เรื่องการปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามลักษณะซื้อขายไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้ขัดขวางโจทก์ทำการขนเรือนของโจทก์ออกจากที่บ้านของจำเลยที่ 1
จำเลยให้การทำนองเดียวกันว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลยที่ 3-4 โดยจำเลยที่ 1 ยกให้จำเลยที่ 4 เมื่อก่อนสมรสกับจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นฟังว่าเรือนพิพาทเป็นเรือนหอของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ขายให้ไปแล้วกรรมสิทธิ์ของเรือนจึงตกเป็นของโจทก์พิพากษาห้ามจำเลยทุกคนเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 500 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การซื้อขายเรือนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานจึงตกเป็นโมฆะแต่ปัญหาว่าใครเป็นผู้รื้อเรือนไปปลูกในที่ดินโจทก์เพราะเหตุใดศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้วินิจฉัยตามนัยแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ทำการสมรสกับนางสงวนบุตรจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้ขายเรือนพิพาทให้เป็นเรือนหอโดยคิดราคาเป็นเงิน 7 ชั่ง ขณะนั้นเป็นเวลาเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยายังใช้กฎหมายลักษณะผัวเมียบังคับอยู่ซึ่งตามกฎหมายนั้น เรือนหอตกเป็นสินเดิมของฝ่ายที่ออกทรัพย์ ปัญหาว่ากรรมสิทธิ์ในเรือนเป็นของใครจึงอยู่ที่ว่าได้ชำระราคากันแล้วหรือยัง ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามลักษณะสัญญาซื้อขายไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคาเรือนแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น