คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ยกฟ้องฐานรับของโจรจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจร ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจะต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในสาระสำคัญและจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วเพียงแต่ปรับบทฐานความผิดต่างกันเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายหลายคนเข้าไปในเคหสถานของนายคิม ซึงถาวร ผู้เสียหายแล้วร่วมกันลักเอาพระเครื่องหลวงพ่อเงินเลี่ยมทองคำหนักสองสลึง 1 องค์ราคา 14,800 บาท พระเครื่องหลวงพ่อเขียนเลี่ยมทองคำหนักสามสลึง 1 องค์ ราคา 23,900 บาท และเงินสดอีก 21,000 บาทรวมราคา 59,700 บาท ของผู้เสียหายที่เก็บรักษาไว้ในเคหสถานไปต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนราชบุรี บ-6615 ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการนำเงินที่คนร้ายร่วมกันลักไปนั้นซื้อมาเป็นของกลาง ทั้งนี้ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยกับนายวีรวัฒน์หรือติ๊ก ซึงถาวร จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 259/2536 กับพวกอีกหนึ่งคนที่หลบหนีไปได้ร่วมกันลักพระเครื่องและเงินดังกล่าวไป หรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสียหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งพระเครื่องและเงินที่คนร้ายลักไปดังกล่าวนั้น โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,335, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นจำนวน 59,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(8) ประกอบมาตรา 84 จำเลยอายุไม่เกิน17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือนปรับ 3,000 บาท เนื่องจากจำเลยยังเป็นนักเรียน เห็นสมควรให้จำเลยมีโอกาสได้เล่าเรียนและกลับตนเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อ 1 ครั้ง หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาพระเครื่องเลี่ยมทองคำเป็นเงิน38,700 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขอนอกจากนี้ให้ยกยกฟ้องฐานรับของโจร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2535 นายวีรวัฒน์ ซึงถาวรได้ลักพระเครื่องเลี่ยมทองคำของนายคิม ซึงถาวรผู้เสียหายผู้เป็นบิดาไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้นายวีรวัฒน์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ นายวีรวัฒน์พยานโจทก์เบิกความว่าพยานเคยลักเงินผู้เสียหายไปหลายครั้งแล้วรวมเป็นเงิน21,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ชักชวนให้พยานลักพระเครื่องเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย เพื่อจำเลยจะพาไปขายให้เมื่อพยานลักได้แล้วจำเลยได้พาพยานนำพระเครื่องเลี่ยมทองคำ2 องค์ ไปขายให้แก่นายสุพจน์ ปิ่นล้ม ได้เงิน 5,000 บาทส่วนจำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า นายวีรวัฒน์นำพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ มาพบบอกว่า เป็นของผู้เสียหายที่ให้ไว้แก่นายวีรวัฒน์นานแล้ว ต้องการนำพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ ไปขาย ชวนจำเลยไปเป็นเพื่อนจำเลยกับนายวีรวัฒน์จึงนำพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ไปขาย เห็นว่านายวีรวัฒน์เป็นบุตรของผู้เสียหายเคยเปิดตู้เซฟของผู้เสียหายลักเอาเงินสดของผู้เสียหายไปหลายครั้งแล้ว รวมเป็นเงิน 21,000 บาท การที่นายวีรวัฒน์จะลักพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ ของผู้เสียหายไปอีกนายวีรวัฒน์แต่ผู้เดียวย่อมเปิดตู้เซฟและกระทำการลักทรัพย์ได้โดยลำพัง ประกอบกับขณะนั้นนายวีรวัฒน์อยู่ระหว่างผ่อนส่งรถจักรยานยนต์อยู่ ย่อมประสงค์จะได้เงินไปส่งค่างวดอีกหลังเกิดเหตุแล้วทางโรงเรียนชนแดนวิทยาคมที่นายวีรวัฒน์และจำเลยเรียนอยู่ได้สอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น นายวีรวัฒน์ให้ถ้อยคำต่ออาจารย์ผู้ปกครองและผู้ช่วยผู้อำนวยการว่านายวีรวัฒน์เป็นผู้ลักพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ มาจากบ้านไปบอกจำเลยว่าประสงค์จะขายเพื่อนำเงินไปซื้อรถจักรยานยนต์จำเลยกับนายวีรวัฒน์จึงไปขายพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ด้วยกัน หลังจากขายได้แล้ว นายวีรวัฒน์ได้นำเงิน5,000 บาท ไปชำระแก่ร้านขายรถจักรยานยนต์ตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 ข้อเท็จจริงได้ความจากถ้อยคำของนายวีรวัฒน์เพิ่มเติมเช่นนี้จึงฟังได้ว่านายวีรวัฒน์เป็นผู้ลงมือลักทรัพย์เอง พยานหลักฐานโจทก์ที่สืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้นายวีรวัฒน์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ได้ความจากนายวีรวัฒน์เบิกความว่า จำเลยเคยสอบถามนายวีรวัฒน์ว่ามีพระไหมให้ไปเอาของผู้เสียหายมาจะนำไปขายให้และที่จำเลยพานายวีรวัฒน์ไปพบนายสุพจน์และให้นายสุพจน์นำพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 2 องค์ ที่จำเลยลักมาไปขาย อีกทั้งจำเลยเป็นผู้รับเงินจากนายสุพจน์จำนวน5,000 บาท แทนนายวีรวัฒน์ ซึ่งในเวลาต่อมาจำเลยก็นำเงินจำนวนนี้ไปให้แก่นายวีรวัฒน์ จึงเป็นการช่วยจำหน่ายช่วยพาเอาไปเสีย โดยรู้ว่าพระเครื่องเลี่ยมทองคำดังกล่าวเป็นทรัพย์ซึ่งได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ปรากฏในการพิจารณาจะต่างกันระหว่างการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญและจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วเพียงแต่ปรับบทฐานความผิดต่างกันเท่านั้น ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำขอที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุก 9 เดือนคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้อีกหนึ่งในสาม คงจำคุก 6 เดือน จำเลยเป็นนักเรียนและไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งจำเลยไม่ได้ประโยชน์จากการกระทำความผิด เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับประพฤติตนเป็นคนดีต่อไป จึงให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share