แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าการโอนที่ดินพิพาทชำระหนี้ตามฟ้องเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือไม่เมื่อคดีมีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าจำเลยให้คำมั่นว่าจะขายที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่จึงไม่ตรงกับคำฟ้องและคำให้การเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142และมาตรา183ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้คัดค้านไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามมาตรา226(2)แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลสูงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่ดินโฉนดเลขที่ 9590, 9591, 9942, 9064 และ 9831ไว้แทนทายาทของนายกอเด็ด นิยมราษฎร์ โจทก์ได้กู้เงินจำเลยและจดทะเบียนจำนองสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินทั้งห้าแปลงไว้เป็นประกันการกู้เงินจำนวน 840,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนครั้นครบกำหนดระยะเวลาการกู้เงินครั้งแรก โจทก์ไม่มีเงินชำระจึงตกลงกันว่า หากครบกำหนดชำระหนี้เงินกู้แต่ละครั้งก็ให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำเลยแก่จำเลยไว้ก่อน หากโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ หรือไถ่ถอนจำนองก็ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกลับคืนเป็นราย ๆ ไปโดยถือว่าสัญญาจำนองที่ดินซึ่งได้จดทะเบียนไว้นั้นมีผลผูกพันโจทก์จำเลยอยู่เช่นเดิม ดังนั้น เมื่อหนี้เงินกู้แต่ละครั้งถึงกำหนดโจทก์ก็จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยตามที่ตกลงกันไว้แต่ละแปลงไปรวม 5 แปลง ต่อมาโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ตามสัญญาจำนองที่ดินทั้งหมด ให้จำเลยจดทะเบียนยกเลิกการจดทะเบียนโอนที่ดินชำระหนี้เสีย และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้โจทก์กับรับเงินตามสัญญาจำนองที่ดินทั้งหมดเป็นเงิน 840,000 บาท ไปจากโจทก์ แต่จำเลยยินยอมให้โจทก์ไถ่ถอนได้เพียง 1 แปลง ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9591, 9590, 9942,9064 และ 9831 เป็นโมฆะ กับให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรับชำระหนี้จำนองจำนวน 840,000 บาท จากโจทก์และไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 9591 และ 9590, 9942,9064 และ 9831 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีเงินชำระจึงตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวทั้งห้าแปลงแก่จำเลยแทนการชำระหนี้โดยจำเลยไม่เคยตกลงจะให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินแต่ละแปลง และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนให้แก่โจทก์ โดยให้ถือว่าสัญญาจำนองที่ดินซึ่งจดทะเบียนไว้นั้นมีผลผูกพันโจทก์จำเลยอยู่เช่นเดิมจำเลยไม่เคยยินยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินจำนวน 1 แปลง และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอชำระหนี้ตามสัญญาจำนอง และขอยกเลิกการจดทะเบียนโอนที่ดินชำระหนี้ดังกล่าวหรือขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9590, 9591, 9942, 9064, 9831 ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินดังกล่าวทั้งหมดจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยการบังคับตามคำพิพากษาให้อยู่ในบังคับ มาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การบังคับตามคำพิพากษาไม่ต้องอยู่ในบังคับมาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยให้โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางศาลหรือสำนักงานวางทรัพย์กรมบังคับคดีภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด แต่จำเลยจะรับเงินไปได้ต่อเมื่อได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและคำให้การดังกล่าว คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า การโอนที่ดินพิพาทชำระหนี้ตามฟ้องเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือไม่ เมื่อคดีมีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า จำเลยให้คำมั่นว่าจะขายที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ จึงไม่ตรงกับคำฟ้องและคำให้การเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142และมาตรา 183 ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้คัดค้านไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามมาตรา 226(2) แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสูงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ให้ถูกต้องได้ และคดีเรื่องนี้คู่ความได้ทำการสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้วศาลฎีกาเห็นควรพิจารณาพิพากษาไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทชำระหนี้จำนองทั้ง 5 แปลง ระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการโอน และให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลง จากโจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินไถ่ถอนจำนองเป็นเงินต้นตามสัญญาจำนองแต่ละฉบับ รวมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างชำระหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย