คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามจดหมายที่จำเลยมีไปถึงโจทก์ 2 ฉบับ แสดงออกชัดว่ามีการระหองระแหง จำเลยบอกใบ้จะมีภรรยาใหม่ รบเร้าให้เพิกถอนทะเบียนสมรส และจำเลยก็มิได้แก่ให้เห็นเหตุเป็นอย่างอื่น จดทะเบียนสมรสแล้วหลับนอนกันคืนแรกคืนเดียวต่อ ๆ มายิ่งนานก็ยิ่งแสดงออกว่าหมดความรักใคร่ต่อกันยิ่งขึ้น และมิได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์มาเป็นเวลากว่าปีแล้ว ถือว่ามีเหตุสมควรที่จะให้หย่ากันได้

ย่อยาว

คดีได้ความว่าโจทก์จำเลยได้เสียกันก่อนภายหลังจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากัน ที่สำนักงานทะเบียนอำเภอเมืองล
ำพูน จังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ ๑๙ ธ.ค.๙๕ แล้วอยู่ร่วมกันที่บ้านบิดามารดาโจทก์ในอำเภอเมืองลำพูน ๑ คืน รุ่งขึ้นจำเลยก็ไปอยู่ตำบลวังผาง อำเภอป่าขาง จังหวัดลำพูน เพราะได้รับราชการเป็นครูประชาบาลโรงเรียนบ้านกลางทุ่ง ตำบลผาง อำเภอป่าขาง จังหวัดลำพูน นับแต่นั้นมามิได้อยู่ร่วมกันอีก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสละละทิ้งมิได้ให้การอุปการะเลี้ยงดู ประพฤติชั่วร้ายแรงด้วยการเป็นนักเลงเจ้าชู้สู่สาวจดหมายเสียคลีท้าทายขอหย่าร้างกับโจทก์ เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างยิ่งไม่อาจอยู่กินเป็นสามีภรรยาต่อไปได้ จึงขอหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๒๐๐ บาท หรือเรียกเป็นเงินก้อนครั้งเดียว ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่าเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วบิดาโจทก์พูดบังคับให้จำเลยหาเงินมาสำหรับแต่งงาน ๓,๐๐๐ บาทจึงจะยอมให้อยู่กินด้วยกัน จำเลยชวนโจทก์ไปอยู่ด้วยโจทก์ก็ไม่ยอมไป วันที่ ๒๘ เม.ย.๙๗ จำเลยกับพวกไปรับโจทก์อีก โจทก์กลับเรียกเงิน ๖,๐๐๐ บาท จึงจะไปอยู่ด้วย จำเลยไม่มีให้ จำเลยมิได้จงใจละทิ้งโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู เพราะเป็นความผิดของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยเป็นสามีเป็นผู้เลือกภูมิลำเนาโจทก์ต้องเป็นฝ่ายติดตามไปอยู่ด้วย เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วบิดาโจทก์กีดกันและไม่จัดแจงให้โจทก์ไปอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับโจทก์โดยเกี่ยงเรียกเอาเงิน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ภรรยา จะถือว่าจำเลยละทิ้งไม่ส่งเสียเงินทองเลี้ยงดู อันจะเป็นเหตุให้หย่าร้างหาได้ไม่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ว่าระหว่างที่จำเลยไม่ไปมาหาสู่โจทก์นี้จำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์หลายฉบับขอถอนทะเบียนสมรส โจทก์ฉีกทิ้งเสียบ้างคงเก็บไว้และส่งอ้างเป็นพยาน ๒ ฉบับ จดหมายของจำเลยทั้ง ๒ ฉบับเป็นหนังสือท้าชวนถอนทะเบียนสมรส ทั้งในเดือนเมษายน ๒๔๙๗ (หลังจดทะเบียนสมรสมา ๑๖ เดือนเศษ) จำเลยกับพวกไปหาโจทก์ บิดาโจทก์ขอทะเบียนสมรสอีกสองสามครั้ง บิดาโจทก์เกี่ยงเรียกเงิน ๓,๐๐๐ บาท จึงจะให้ถอนหรือจะให้โจทก์ไปอยู่กินด้วยก็เรียกเงินไว้ ๖,๐๐๐ บาทเป็นค่าป้องกันลูก เพราะเกรงจะถูกกลั่นแกล้งให้ได้ลำบากในภายหลัง ในเมื่อระหองระแหงกันแล้วเช่นนี้
ฝ่ายจำเลยนำสืบไม่สมตามข้อต่อสู้ที่ว่าไปวอนรับโจทก์ ๆ ไม่ยอมมาอยู่ด้วย เพราะขัดกับหนังสือท้าชวนถอนทะเบียนเรื่อย ๆ มา จึงเชื่อว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ ไม่ส่งเสียดูเป็นเวลากว่า ๑ ปี กรณีต้องด้วย ป.พ.พ.ม. ๑๕๐๐ (๓) โจทก์ฟ้องหย่าได้ แต่การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูมาด้วยนั้นเห็นว่าโจทก์เป็นบุตรคนเดียวและอยู่กินกับบิดามารดาซึ่งมีไร่นามาตั้งแต่ก่อนได้เสียกันกับจำเลยการหย่ากันครั้งนี้ไม่ปรากฎว่าโจทก์จะยากจนลงกว่าเมื่อระหว่างสมรส ฐานะของจำเลยก็เพียงเป็นครูจัดว่าได้เงินเดือนรวมเดือนละ ๕๐๐ บาทเท่านั้น ยังไม่ควรต้องให้จำเลยรับผิด พิพากษากลับให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันได้ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยฎีกาต่อมาแต่ฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาพิพากษาว่าตามหนังสือฉบับหมาย ๑,๒ ที่จำเลยมีถึงโจทก์นั้น แสดงออกชัดว่ามีการระหองระแหงกัน จำเลยบอกใบ้ทำนองจะมีภรรยาใหม่รบเร้าให้เพิกถอนทะเบียนสมรส และจำเลยก็มิได้แก้ให้เห็นเหตุเป็นอย่างอื่นดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยออกความเห็นมา จดทะเบียนสมรสแล้วหลับนอนกันคืนแรกคืนเดียว ต่อ ๆ มายิ่งนานก็ยิ่งแสดงออกว่าหมดความรักใคร่ต่อกันยิ่งขึ้น และมิได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์มาเป็นเวลากว่า ๑ ปี แล้ว มีเหตุผลสมควรที่จะให้หย่ากันได้ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงพิพากษาให้ใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๕๐ บาท

Share