แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนายวงแชร์ที่จัดให้มีการเล่นแชร์โดยมีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันมากกว่าสามแสนบาทซึ่งมากกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเล่นแชร์พ.ศ.2534มาตรา6(3)ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้มีเพียงมาตรา7เท่านั้นที่ให้สิทธิแก่ลูกวงแชร์ฝ่ายเดียวที่จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ที่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา6โดยมิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่ฝ่ายนายวงแชร์หรือผู้จัดการให้มีการเล่นแชร์ที่จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับลูกวงแชร์แต่อย่างใดแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ฯว่าไม่ประสงค์ที่จะให้นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่งเอากับลูกวงแชร์ที่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา6ดังนั้นการที่โจทก์เป็นนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา150โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าแชร์จากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ จำเลย และบุคคลภายนอกอีกหลายคนร่วมกันเล่นแชร์จำนวน 24 หุ้น หุ้นละ 20,000 บาท โดยโจทก์เป็นนายวงแชร์จำเลยเป็นลูกวงแชร์ถือ 1 หุ้น จำเลยประมูลแชร์ได้ในเดือนที่ 14โดยให้ราคาประมูล 3,450 บาท จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้วและมีหน้าที่ต้องส่งแชร์อีก 10 เดือน แต่จำเลยชำระให้โจทก์เพียง 3 เดือน อีก 7 เดือนโจทก์ต้องชำระแทนเป็นเงิน 140,000 บาทโจทก์ทวงถามให้จำเลยนำเงินที่โจทก์ออกแทนให้ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยใช้เงินให้โจทก์จำนวน 147,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นรวม2 วง มีสมาชิกวงแชร์แต่ละวงไม่น้อยกว่า 20 คน มีทุนกองกลางแต่ละวงต่อหนึ่งงวดไม่น้อยกว่า 400,000 บาท แชร์ที่โจทก์จัดให้มีการเล่นดังกล่าวต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์147,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน140,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่าโจทก์เป็นนายวงแชร์ที่จัดให้มีการเล่นแชร์โดยมีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันมากกว่าสามแสนบาท ซึ่งมากกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6(3) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534มาตรา 6(3) ต้องรับโทษตามมาตรา 17 เท่านั้น หาเป็นเหตุให้สัญญาที่สมาชิกวงแชร์กับนายวงแชร์ที่มีต่อกันตกเป็นโมฆะไม่นั้นเห็นว่าตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 คงมีบทบัญญัติตามมาตรา 7 เท่านั้นที่ให้สิทธิแก่ฝ่ายลูกวงแชร์ฝ่ายเดียวที่จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ที่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 6 โดยมิได้มีบทบัญญัติมีสิทธิแก่ฝ่ายนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ที่จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับลูกวงแชร์แต่อย่างใด ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 ว่าไม่ประสงค์ที่จะให้นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่งเอากับลูกวงแชร์ที่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 6ดังนั้น การที่โจทก์เป็นนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน