แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีเดิมศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าโจทก์ไม่มีอำนาจชำระหนี้จำนองเป็นหน้าที่ของจำเลยจะนำเงินไปชำระแก่ผู้รับจำนองคำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความการที่โจทก์ชำระหนี้จำนองโดยตนมิได้เป็นหนี้และมิได้มีเจตนากระทำแทนจำเลยจึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับช่วงสิทธิจากผู้รับจำนองแต่ทำให้ที่พิพาทของจำเลยปลอดจากภาระจำนองเป็นประโยชน์แก่จำเลยไม่ต้องชำระหนี้จำนองอีกกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยได้ที่พิพาทโดยปลอดภาระจำนองโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยจึงต้องคืนเงินที่โจทก์ได้เสียไปในการไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้พร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือทวงถาม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าไถ่ถอนจำนองและค่าภาษีบำรุงท้องที่ที่ออกแทนจำเลยไปและค่าดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าไถ่ถอนจำนอง 1,479,467บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่10 กรกฎาคม 2525 เป็นต้นไป และให้จำเลยชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่19,102.61 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วนที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน2516 จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 1731 เลขที่ดิน 18 ตำบลคลอง 1 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) ขายฝากไว้แก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ได้นำที่ดินโฉนดข้างต้นไปจำนองไว้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัดเป็นเงิน 1,200,000 บาท และได้มอบเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลยไปต่อมาวันที่ 18 กันยายน 2518 โจทก์ได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่พิพาทจากบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,479,467 บาท และระหว่าง พ.ศ.2518 ถึง พ.ศ.2523 โจทก์ได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่พิพาทในปีดังกล่าวเป็นเงิน 19,102.61 บาทด้วยครั้นวันที่ 31 ตุลาคม 2518 จำเลยฟ้องโจทก์ตต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทำนิติกรรมขายฝากกับโจทก์นั้นมิได้มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก แต่ทำไปเพื่อให้โจทก์เอาที่พิพาทไปจำนองบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ได้เท่านั้น ซึ่งโจทก์ก็ทราบดี นิติกรรมขายฝากจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ผลคือไม่มีขายฝากต่อกันที่พิพาทไม่ตกเป็นของโจทก์ จำเลยมีอำนาจเรียกที่ดินคืนจากโจทก์ฐานลาภมิควรได้ โจทก์ไม่มีอำนาจชำระหนี้จำนองของบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะนำเงินไปชำระแก่ผู้รับจำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรง ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าใดย่อมเป็นไปตามมูลหนี้ในสัญญาจำนอง พิพากษาให้โจทก์โอนที่พิพาทคืนให้จำเลย ปรากฎตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2524 ระหว่าง นางสง่ารวรัตน์ ณ อยุธยา โจทก์ นายไพรัช เบญจฤทธิ์จำเลย ต่อมาโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระเป็นค่าไถ่ถอนจำำนอง และค่าภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่พิพาทพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยเป็นคดีนี้ คงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีในต้นเงิน 1,479,467 บาท นับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2518 จากจำเลยหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญาจำนองที่พิพาทไว้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด โดยความยยินยอมของจำเลยถือได้ว่าโจทก์มีความผูกพันร่วมกับจำเลยในการใช้หนี้จำนอง การที่โจทก์ชำระหนี้จำนองให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิช์ประกันภัย จำกัดสิทธิตามสัญญาจำนองซึ่งผู้รับจำนองมีอยู่ย่อมโอนมายังโจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ229(3) โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีตามสัญญาจำนองในต้นเงิน 1,479,,467 บาท นับตั้งแต่วันที่ 18กันยายน 2518
พิจารณาแล้ว ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่132/2524 แล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจชำระหนี้จำนองของบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะนำเงินไปชำระแก่ผู้รับจำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรง คำพิพากษาอันถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ โจทก์จะโต้เถียงในคดีนี้ว่าโจทก์เป็นลูกหนี้จำนองร่วมกับจำเลยด้วยหาได้ไม่ โจทก์มิใช่บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับจำเลย ไม่มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้จำนอง การที่โจทก์เข้าใช้หนี้จำนอง จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับช่วงสิทธิของบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด เจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งแลละพาณิชย์ มาตรา 229(3) ประกอบด้วยมาตรา226 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองจากจำเลย โจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้ โดยตนมิได้เป็นหนี้และมิได้เจตนากระทำแทนจำเลยแต่ทำให้ที่พิพาทของจำเลยปลอดจากภาระจำนอง เป็นประโยชน์แก่จำเลยไม่ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัดอีก กรณีเป็นเรื่องจำเลยได้ที่พิพาทไปโดยปลอดจากภาระจำนองโดยปราศจจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยจึงต้องคืนเงินที่โจทก์ได้เสียไปในการไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 และเมื่อเป็นการคืนเงินโจทก์จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 224 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ออกชำระหนี้ไปภายใน 7 วัน ครบกำหนดตามหนังสือทวงถามในวันที่ 9 กรกฎาคม 2524 จำเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 10กรกฎาคม 2524 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องลาภมิควรได้ โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่10 กรกฎาคม 2524 ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 4,000 บาทแทนจำเลย.