แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 สลักหลังให้โจทก์โจทก์สลักหลังต่อให้ จ. จ. นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จึงฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514 แม้ในคดีที่ จ.ฟ้องโจทก์นั้น โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 โดยโจทก์ยอมชำระเงินให้ จ. และเข้าถือเอาเช็ครายพิพาทนี้ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าถือเอาเช็คและใช้เงินตามความหมายของมาตรา 1003 ตอนแรก เพราะโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกฟ้อง มิใช่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คให้ จ. และเข้าถือเอาเช็คไว้ไล่เบี้ย เมื่อโจทก์มาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองในวันที่ 10 เมษายน 2515 พ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันที่โจทก์ถูกฟ้องแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003
กรณีดังกล่าวข้างต้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003ได้บัญญัติถึงเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษต่างหากแล้วการนับอายุความจึงต้องบังคับไปตามมาตราดังกล่าว จะนำมาตรา 169 มาใช้บังคับโดยถือว่าให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้คือวันที่ 3 เมษายน 2515 เป็นต้นไป หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คคนที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลังคนแรก และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่าย ปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514 ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เรียกเงินตามตั๋วเงินในฐานะเป็นผู้สลักหลังคนสุดท้าย และศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาล เมื่อวันที่ 3 เมษายน2515 เป็นเงิน 50,000 บาท ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1810/2515 โจทก์ผู้สลักหลังจึงมีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดยสุจริต และได้ใช้เงินแก่ผู้ทรงรายอื่นไปตามคำพิพากษาแล้ว จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยทั้งสอง การที่โจทก์ใช้เงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลไปทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ5 ต่อปีในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2515 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 68.49 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองรวมกันใช้เงิน50,068 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีในต้นเงิน 50,068บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่าโจทก์จะเป็นผู้สลักหลังเช็คและถูกห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่รับรอง และต่อสู้ว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คนั้น กับตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง เพราะปรากฏว่านับแต่วันศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินตามเช็คถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 6 เดือนแล้วก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยทวงถามก่อน และโจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินตามเช็ค จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าเช็คตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 ได้ออกให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันสัญญาจ้างเหมาะระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยมีเงื่อนไขในสัญญาว่าจำเลยที่ 1 จะนำเช็คไปใช้ให้บุคคลอื่นไม่ได้จนกว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยที่ 1ได้ทิ้งงานทำความเสียหายให้แก่จำเลยที่ 2 และโอนเช็คให้โจทก์ด้วยเจตนาฉ้อฉล จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด เช็คสั่งจ่ายลงวันที่ 6 เมษายน2513 เป็นเช็คที่ออกให้มีการใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้นได้นำเช็คเบิกเงินวันที่ 17 มิถุนายน 2513 จึงเป็นการยื่นเช็คเบิกเงินหลังหนึ่งเดือนนับจากวันที่ออกเช็ค ผู้สลักหลังทั้งหลายจึงพ้นความรับผิดตามเช็คและโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คหรืออาวัลได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง มิได้ยกข้อต่อสู้ในข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดตามที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลฟ้อง โจทก์จึงใช้สิทธิฟ้องไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้และตัดฟ้องเรื่องคดีของโจทก์ขาดอายุความว่าโจทก์ฟ้องพ้นเวลา6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ถูกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ครายพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้สลักหลังเช็ครายพิพาทให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้สลักหลังเช็ครายพิพาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาล โจทก์ถูกห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลฟ้องไล่เบี้ยในฐานะผู้สลักหลังเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514ฉะนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้สลักหลังไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้สลักหลังด้วยกัน และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็ครายพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 นับแต่วันที่โจทก์ถูกฟ้องถึงวันที่ 10 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า6 เดือนแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง โดยไม่วินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่จำเลย 500 บาท
โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสองคนละ 300 บาท
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าเรื่องนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็ครายพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ได้เช็คมาโดยจำเลยที่ 1 สลักหลังให้ แล้วโจทก์ได้สลักหลังให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลต่อไปอีก ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลนำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จึงฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514 ดังปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1810/2515 ของศาลแพ่ง เมื่อโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังด้วยกันและจำเลยที่ 2 ผู้สั่งจ่าย อายุความฟ้องร้องในคดีนี้จึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ศาลฎีกาเห็นว่าความในมาตรา 1003 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ชัดอยู่แล้วว่า “ในคดีผู้สลักหลังทั้งหลายฟ้องไล่เบี้ยกันเองและไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สั่งจ่ายแห่งตั๋วเงิน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ผู้สลักหลังเข้าถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน หรือนับแต่วันที่ผู้สลักหลังนั้นเองถูกฟ้อง” ฉะนั้นเมื่อโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลฟ้องเป็นจำเลย ในวันที่ 19 พฤษภาคม2514 อายุความจึงเริ่มนับแต่นั้นมา โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 10เมษายน 2515 ซึ่งพ้นเวลาหกเดือนแล้วเช่นนี้ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ในฐานะผู้สลักหลังเช็ครายพิพาทได้ชำระเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาล และเข้าถือเอาเช็คนั้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 สิทธิไล่เบี้ยของโจทก์ได้กำหนดอายุความแห่งการใช้สิทธิไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169โดยให้เริ่มนับแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป คือวันที่ 3เมษายน 2515 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์บทมาตราดังกล่าวแล้วเห็นว่า จะนำมาตรา 169 มาใช้บังคับแก่กรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์หาได้ไม่ เพราะมาตรา 1003 ได้บัญญัติถึงเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษต่างหากแล้ว การนับอายุความจึงต้องบังคับไปตามมาตรา 1003 ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า ที่โจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกฟ้องแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 โดยยอมชำระเงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาล และเข้าถือเอาเช็ครายพิพาทนี้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าถือเอาเช็คและใช้เงินตามความหมายของมาตรา 1003ตอนแรก เพราะโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกฟ้อง มิใช่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญกิจไพศาลไปและเข้าถือเอาเช็คไว้ไล่เบี้ย โดยไม่ถูกฟ้อง เหตุนี้จึงไม่อาจเริ่มนับอายุความในวันที่ 3เมษายน 2515 ได้
พิพากษายืน