แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อผู้เยาว์ถูกละเมิด ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ละเมิดได้ แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 กล่าวคือ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้กระทำแทนหรือให้คำอนุญาตหรือให้ความยินยอม บิดาของผู้เยาว์ได้เสนอข้อหาต่อศาลแทนผู้เยาว์โดยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ จึงไม่เป็นบิดาของผู้เยาว์ตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิกระทำแทนหรือให้ความยินยอมได้ ในกรณีเช่นนี้เท่ากับว่าผู้เยาว์เสนอข้อหาเอง เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อบิดาได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์แล้ว ก็เป็นบิดาตามกฎหมาย มีอำนาจกระทำแทนหรือให้ความยินยอมในการเสนอข้อหาต่อศาลได้ การบกพร่องในเรื่องความสามารถนี้ แก้ไขให้บริบูรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 56 เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วก็เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถก็หมดไป ทำให้การฟ้องคดีแทนเด็กที่บกพร่องมาแต่ต้นเป็นอันบริบูรณ์
จำเลยฎีกาคัดค้านในเรื่องค่าสินไหมทดแทนโดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงในฎีกาเพียงแต่ขอให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมาเป็นข้อสนับสนุนคำฟ้องในชั้นฎีกาเท่านั้น จึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เพราะมิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะตัดทอนจำนวนค่าเสียหายให้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบิดาเด็กชายสุชาติ จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นบุตร จำเลยที่ ๑ ได้ขี่จักรยานโดยประมาทไปชนเด็กชายสุชาติบาดเจ็บกระโหลกศีรษะร้าว ประสาทเสีย มีสติฟั่นเฟือน โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลเด็กชายสุชาติเป็นเงิน ๖,๔๒๐ บาท เสียเวลาค้าขาย ๔,๕๐๐ บาท และเสียค่าพยาบาลต่อไปอีก ๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๕,๙๒๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์มิใช่บิดาและผู้ปกครองเด็กชายสุชาติตามกฎหมายและจำเลยที่ ๑ เป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้ประมาท เป็นความประมาทของฝ่ายโจทก์เอง ค่าเสียหายโจทก์เรียกมากเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๔,๑๗๖ บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๗,๔๖๓ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยฎีกาขึ้นมา ๓ ข้อ คือ อำนาจฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ โจทก์มีส่วนประมาท กับค่าสินไหมทดแทนในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า อำนาจฟ้องในคดีนี้เป็นของเด็กชายสุชาติผู้เสียหายในการทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ แต่เด็กชายสุชาติเป็นผู้ไร้ความสามารถโดยเป็นผู้เยาว์จะเสนอข้อหาต่อศาลได้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๖ โดยมีผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา ๑(๑๓) เป็นผู้กระทำแทน ให้คำอนุญาตหรือให้ความยินยอม เมื่อตอนยื่นฟ้อง นายประสงค์ยังมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็กชายสุชาติ นายประสงค์จึงมิใช่บิดาตามกฎหมาย นายประสงค์ไม่มีสิทธิกระทำแทนหรือให้ความยินยอม เท่ากับว่าเด็กชายสุชาติเสนอข้อหาเอง บกพร่องในเรื่องความสามารถเท่านั้น มิใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อนายประสงค์กับมารดาเด็กชายสุชาติจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็เป็นบิดาเด็กตามกฎหมาย อำนาจปกครองอยู่กับบิดา เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำแทนหรือให้ความยินยอมในการเสนอข้อหาของเด็กชายสุชาติได้ การบกพร่องในเรื่องความสามารถนี้ แก้ไขให้บริบูรณ์ได้ตามมาตรา ๕๖ ที่กล่าวข้างต้น เมื่อได้แก้ไขวิธีจดทะเบียนสมรสให้เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมแล้ว เหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถก็หมดไป ทำให้การฟ้องคดีแทนเด็กที่บกพร่องมาแต่ต้นเป็นอันบริบูรณ์ด้วยการแก้ไขนี้แล้ว ในเรื่องโจทก์มีส่วนประมาทนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ ในเรื่องค่าสินไหมทดแทน จำเลยมิได้ยกรายการใดขึ้นฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ควรรับเพราะเหตุใด มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงในฎีกา ที่จำเลยบรรยายไว้ว่าขอถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมาเป็นข้อสนับสนุนคำฟ้องของจำเลยในชั้นฎีกาด้วยนั้น ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ เพราะมิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา เมื่อจำเลยมิได้คัดค้านว่าจำนวนใดไม่ต้องรับผิดหรือมากเกินไป จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะตัดทอนจำนวนค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้
พิพากษายืน