แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ไม่ได้ครอบครองนาพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าอันเป็นมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกับจำเลยมาหลายปีก็ดี หากจำเลยยอมรับกับโจทก์ว่ายินดีแบ่งนาพิพาทให้โจทก์แล้ว จำเลยก็จะยกอายุความว่าโจทก์มิได้ฟ้องร้องเรียกมรดกเสียภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายไม่ได้ เพราะจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายคำมี นางเนียม บิดามารดาโจทก์ มีนาไม่มีโฉนด 1 แปลง เนื้อที่ 42 ไร่เศษ นายคำมีตายเมื่อ 35 ปีมาแล้วที่นาส่วนของนายคำมี 21 ไร่ ตกได้แก่นางเนียมและโจทก์คนละ 7 ไร่หลังจากนายคำมีตายแล้ว 3 ปี นางเนียมได้นายปรุงเป็นสามีใหม่เกิดบุตรคือจำเลยทั้งสอง นางเนียมตายเมื่อ 5 ปีมานี้ ที่นาส่วนของนางเนียม 28 ไร่ จึงตกแก่โจทก์จำเลยคนละ 7 ไร่ รวมเป็นของโจทก์ทั้งสอง 28 ไร่ ราคา 11,200 บาท หลังจากนางเนียมตาย โจทก์จำเลยปกครองที่นาร่วมกัน มิได้แบ่งเป็นส่วนสัด ครั้นราวเดือนเมษายน 2502 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อกรมการอำเภอขอรับมรดกเอาที่นาทั้งหมดเป็นของจำเลย โจทก์คัดค้าน อำเภอเรียกจำเลยไปไกล่เกลี่ย จำเลยยอมให้โจทก์เพียงคนละ 6 ไร่ จึงขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่นามรดกเป็น 6 ส่วน ให้โจทก์คนละ 2 ส่วน หากแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน
จำเลยให้การว่า นาพิพาทเดิมเป็นของนายตั้ง ๆ ยกให้นายปรุงนางเนียมบิดามารดาของจำเลย ต่อมาเมื่อ 12 ปีมานี้ นายปรุงนางเนียมยกนาพิพาทให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่านาพิพาทเดิมเป็นของนายตั้ง ๆ ตายตกเป็นของนางเนียมแต่ผู้เดียว เพราะนายคำมีบิดาโจทก์ตายก่อนนายตั้งโจทก์รับว่าไม่ได้ครอบครองทำนาพิพาทมานานกว่า 10 ปี และขอแบ่งนาพิพาทจากจำเลยภายหลังนางเนียมตายถึง 4 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้โจทก์มิได้ครอบครองนาพิพาทมาเกินคนละ10 ปี และฟ้องคดีภายหลังนางเนียมตายถึง 4 ปีก็ดี แต่ปรากฏตามบันทึกถ้อยคำของโจทก์จำเลยและนายปรุงที่ให้ถ้อยคำไว้ต่อกรมการอำเภอว่า โจทก์จำเลยกับนายปรุงยอมรับว่านาพิพาทเป็นของนายคำมีนางเนียมบิดามารดาโจทก์มาก่อน จำเลยยอมแบ่งให้โจทก์ แต่ขอให้นายปรุงเป็นผู้จัดการแบ่ง ซึ่งนายปรุงก็มิได้โต้แย้งความข้อนี้ประการใดเหตุที่นายปรุงยังไม่ได้จัดการแบ่งเพราะอยู่ในขณะทำมาหากินเมื่อเสร็จแล้วมีเวลาจึงจะแบ่งให้ เอกสารนี้ฝ่ายจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ดังนั้น จำเลยจึงยกอายุความมรดกยันโจทก์ไม่ได้ เพราะจำเลยยอมสละสิทธิที่จะใช้อายุความมรดกแก่จำเลยเสียแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้แบ่งนาพิพาทให้โจทก์คนละ 1 ใน 3 ส่วนของครึ่งหนึ่งของนาพิพาทเสียชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้แบ่งนาพิพาทให้แก่โจทก์อีกคนละ 1 ใน 4 ส่วนของจำนวนเนื้อที่ที่เป็นมรดกของนางเนียมอีกชั้นหนึ่ง หากแบ่งไม่ตกลงให้ประมูลแบ่งกันตามส่วนดังกล่าว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อนำเอกสารบันทึกของกรมการอำเภอประกอบกับพยานโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านาพิพาทเป็นของนายคำมีนางเนียมบิดามารดาโจทก์ มีปัญหาว่าเมื่อนางเนียมตายแล้ว โจทก์ได้เข้าครอบครองนาพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์แยกไปทำนาของพ่อตาแม่ยายโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ก่อนนางเนียมตาย ไม่ได้กลับเข้าทำนาพิพาทอีก แต่จำเลยได้ยอมรับกับโจทก์ว่ายินดีแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ เพราะที่นานี้เป็นของบิดามารดาโจทก์ ดังปรากฏตามบันทึกคณะกรมการอำเภอที่กล่าวแล้ว ฉะนั้น จำเลยจึงยกอายุความว่าจทก์มิได้ฟ้องเรียกมรดกเสียภายใน 1 ปี นับแต่นางเนียมตายขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ เพราะจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192
ฯลฯ
พิพากษายืน