แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อได้ควบสหกรณ์เข้ากันเป็นสหกรณ์ใหม่ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 โดยถูกต้องแล้ว สหกรณ์ใหม่ย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิและความรับผิดของสหกรณ์เดิมที่ได้ควบเข้ากันทั้งสิ้น สหกรณ์ใหม่ (โจทก์)ไม่จำต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้สหกรณ์เดิมทราบถึงการควบสหกรณ์เข้าด้วยกันและย่อมได้ไปซึ่งสิทธิเป็นเจ้าหนี้ กรณีหาใช่เป็นการโอนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยทั้งสามเป็นสมาชิกสหรกรณ์บ้านสระทอน จำเลยที่ 1ได้กู้เงินสหกรณ์โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาสหกรณ์ดังกล่าวกับสหกรณ์อื่นได้ควบกันเข้าเป็นสหกรณ์เดียวกัน คือโจทก์คดีนี้ จำเลยทั้งสามจึงเป็นสมาชิกและลูกหนี้โจทก์ แล้วจำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่าเป็นหนี้เงินกู้สหกรณ์บ้านสระทอนจริง สหกรณ์บ้านสระทอนหรือโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวการโอนหนี้ระหว่างสหกรณ์บ้านสระทอนกับโจทก์ จำเลยมิได้ยินยอมด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งการโอนหนี้จากสหกรณ์บ้านสระทอนมาเป็นของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ต่อโจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อฟังว่าการควบสหกรณ์เข้ากันเป็นสหกรณ์ใหม่ (โจทก์)ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 เป็นไปโดยถูกต้องแล้ว โจทก์ย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ และความรับผิดของสหกรณ์เดิมที่ได้ควบเข้ากันทั้งสิ้นตามมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ โจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้สหกรณ์เดิมทราบถึงการควบสหกรณ์เข้าด้วยกัน และย่อมได้ไปซึ่งสิทธิเป็นเจ้าหนี้กรณีไม่ใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 โจทก์จึงไม่จำต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ทราบถึงการควบสหกรณ์เข้าด้วยกัน
พิพากษายืน