แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นฟังว่า “ฯลฯ ขณะจับก็ยังพบ (โจทก์) คาดเข็มขัดตำรวจและมีนาฬิกาข้อมือที่ตามวิทยุว่าถูกลักมาอยู่ด้วย ดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกจับอยู่เองเป็นธรรมดา” ดังนี้ แม้นาฬิกาที่จับได้จากโจทก์เป็นยี่ห้อวิลน่าส่วนตามวิทยุสั่งจับนั้นเป็นยี่ห้อฮอนซ่าก็ตามก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่า จำเลยพบโจทก์มีนาฬิกาข้อมือตรงกับที่วิทยุว่านาฬิกาข้อมือเป็นของที่ถูกลัก อันเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นประกอบข้อพิรุธอื่นๆ ของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นพลตำรวจสำเริงซึ่งต้องหาว่าลักนาฬิกาข้อมือเท่านั้น ศาลชั้นต้นมิได้ฟังเลยไปถึงว่านาฬิกาที่โจทก์ใส่อยู่นั้นเป็นของร้าน อันเป็นของกลางที่จับได้จากโจทก์อย่างใดหาเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 จำเลยไม่ต้องรับโทษ(อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า “ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุจำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่า แท้จริงจำเลยกับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ” ดังนี้ เมื่อนางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองรับราชการเป็นตำรวจภูธรประจำสถานีตำรวจภูธร รู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจ มีเจตนาให้โจทก์ถูกคุมขังแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าโจทก์มีชื่อว่า พลตำรวจสำเริงจับโจทก์มายังสถานีตำรวจในข้อหาว่าลักทรัพย์แล้วหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ไว้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2507 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2507 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลแขวงราชบุรีรับอุทธรณ์โจทก์ ข้อกฎหมาย 2 ข้อ คือ
1. ศาลชั้นต้นฟังว่า “ฯลฯ ขณะจับก็ยังพบว่า (โจทก์) คาดเข็มขัดตำรวจและมีนาฬิกาข้อมือที่ตามวิทยุว่าถูกลักมาอยู่ด้วย ดังนี้ โจทก์ย่อมจะถูกจับกุมอยู่เองเป็นธรรมดา ฯลฯ” แต่นาฬิกาที่จับได้จากโจทก์เป็นยี่ห้อวิลน่า ส่วนตามวิทยุสั่งจับนั้นยี่ห้อฮอนซ่าจึงไม่ใช่ของร้าย การวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการคลาดเคลื่อนนอกท้องสำนวน
2. ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า “ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุ จำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่าแท้จริงจำเลยที่ 2 กับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ แต่นางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าเพิ่งรู้จักโจทก์เมื่อราว 3 เดือนก่อนที่จะมาเป็นพยานที่ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นเวลาภายหลังการจับกุมและนางสาวน้อย ที่โจทก์ว่าก็ไม่มีใครเรียกว่าแมว นอกจากโจทก์คนเดียว จำเลยที่ 2 จะรู้ได้อย่างไรว่าพยานชื่อแมว พยานจึงไม่ใช่นางแมวที่โจทก์กล่าวถึง ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 กับนางแมวไม่รู้จักกันและไม่มีเรื่องที่โจทก์จะหึงจำเลยที่ 2 ก็เป็นการคลาดเคลื่อนนอกท้องสำนวนเช่นเดียวกัน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยนอกคำพยานหลักฐานในสำนวน พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องนาฬิกาข้อมือนั้น ศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่าจำเลยพบโจทก์มีนาฬิกาข้อมือตรงกับที่วิทยุว่านาฬิกาข้อมือเป็นของที่ถูกลัก อันเป็นข้อสังเกตุเบื้องต้นประกอบข้อพิรุธอื่น ๆ ของโจทก์ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นพลตำรวจสำเริงซึ่งต้องหาว่าลักนาฬิกาเท่านั้น ศาลชั้นต้นมิได้ฟังเลยไปว่านาฬิกาที่โจทก์ใส่อยู่นั้นเป็นของร้ายอันเป็นของกลางที่จับได้จากโจทก์แต่อย่างใด หาเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่ ข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่มีเหตุที่จะจับโจทก์ได้เพราะวิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับนั้น เห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏ จำเลยย่อมเข้าใจว่าคำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับการที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนอกจากเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาให้จำเลยกระทำการอันเป็นหน้าที่ของจำเลยแล้ว ยังมีวิทยุโทรศัพท์จากกรมตำรวจสั่งให้มาจับอีกด้วยแม้วิทยุมิได้แจ้งว่าได้ออกหมายจับแล้วกรณีก็ต้องด้วยมาตรา 70 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งจำเลยไม่ต้องรับโทษ (อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ในเรื่องสาเหตุ นางสาวสุรีย์หรือน้อยหรือแมวที่จำเลยนำสืบก็เบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
พิพากษายืน