แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
รายการค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่มีชื่อผู้รับเงินมีแต่ใบสำคัญจ่ายแต่มิได้มีพยานหลักฐานนำสืบว่าได้จ่ายเงินไปจริงแม้เป็นจำนวนเงินเล็กน้อยก็จะรับฟังว่าเป็นความจริงหาได้ไม่ คำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวถึงค่าถมทรายในปี2516ข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่าเงินจำนวน1,705,287บาท45สตางค์เป็นรายรับของโจทก์ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่1ประเมินรายรับขึ้นใหม่ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาสิ่งปลูกสร้างของกรมโยธาธิการและเงินจำนวน53,390บาทเป็นรายจ่ายที่โจทก์ลงบัญชีไว้ว่าเป็นค่าขนส่งแสดงว่าโจทก์หาได้ฟ้องว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะความจริงโจทก์มีรายจ่ายค่าถมทรายไม่การที่โจทก์นำสืบว่าได้จ่ายค่าถมทรายไปจึงเป็นการนอกฟ้อง โจทก์เพิ่งกล่าวอ้างว่ามีรายจ่ายค่าถมทรายในปี2517จำนวนเงินใกล้เคียงกับที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ตรวจพบใบเสร็จฉบับแรกกรรมการโจทก์คนหนึ่งลงชื่อรับเงินฉบับที่2ไม่ปรากฏว่าผู้ใดรับเงินฉบับที่3ถึง5ลูกจ้างโจทก์เป็นผู้รับเงินและฉบับที่6บุคคลภายนอกซึ่งมีอาชีพรับจ้างคัดเหล็กเป็นผู้รับเงินทั้งที่โจทก์มีลูกจ้างไปซื้อทรายจากเรือเร่มาได้อยู่แล้วพยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธรับฟังไม่ได้แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากที่ดินที่โจทก์สร้างศูนย์การค้าเป็นที่ลุ่มต้องถมทรายก่อนทำการก่อสร้างจึงน่าเชื่อว่ามีรายจ่ายค่าซื้อทรายถมที่ดินในปี2517จริงแต่ไม่เต็มตามที่อ้าง ศาลมีอำนาจพิพากษาให้แก้ไขคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องสั่งให้ทำการประเมินใหม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ในปี 2525 – 2517 เป็นเงิน 795,755 บาท 61 สตางค์ เงินเพิ่ม159,151 บาท 12 สตางค์ รวมทั้งสิ้น 954,906 บาท 73 สตางค์ เป็นการไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่แจ้งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวนดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ให้การว่า พยานหลักฐานเกี่ยวกับรายจ่ายที่โจทก์นำมาแสดงยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นรายจ่ายได้จ่ายไปจริง การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยข้อเท็จจจริงและข้อกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ทิ้งฟ้องและวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เคยยอมให้โจทก์หักร้อยละ 50ของรายรับที่เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งโจทก์อ้างว่าได้เสียเงินค่าถมทรายไป 1,280,000 บาท แสดงว่าโจทก์พิสูจน์ได้ว่ารายจ่ายค่าถมทรายมีจริงจึงเห็นควรกำหนดว่าโจทก์พิสูจน์รายจจ่ายในการถมทรายได้140,000 บาท พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 88/2525 โดยให้โจทก์นำรายจ่ายที่พิสูจน์ได้จำนวน 640,000 บาท ไปเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความให้เป็นพบ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อฟังว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 88/2525 เฉพาะในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2515 มีรายจ่ายที่ลงไว้ในบัญชี 6 รายการ คือ ค่าซื้อเครื่องปรับอากาศ 11,000 บาทอุปกรณ์ก่อสร้าง 120 บาท ทรายถมที่ 11,096 บาท 81 สตางค์ ทรายหยาบ5,200 บาท และทรายหยาบ 4,000 บาท รวม 36,414 บาท 81 สตางค์ เป็นรายการที่ไม่มีใบเสร็จรับเงิน ไม่มีชื่อผู้รับเงิน มีแต่ใบสำคัญจ่ายของโจทก์ ปรากฎว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้โจทก์มิได้มีพยานหลักฐานนำสืบว่าได้จ่ายเงินตามรายการดังกล่าวไปจริงแต่อย่างใดจะอ้างว่าเป็นจำนวนเงินเล็กน้อยแล้วครวรรับฟังเป็นความจริง หาชอบด้วยกฎหมายไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังโจทก์กล่าวอ้าง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าที่จำเลยอ้างว่าในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2516 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2516 โจทก์นำรายได้ลงบัญชีต่ำไป 1,705,287 บาท 45 สตางค์ ความจริงรายได้จำนวนนี้ไม่มี เพราะโจทก์ไม่เคยได้รับ เพราะเงินจำนวนนี้เป็นรายจ่ายที่โจทก์จ่ายเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงงานชั่วคราวในการก่อสร้าง ซึ่งจำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้จ่ายจึงให้ถือเป็นรายรับจึงเป็นการไม่ถูกต้อง และที่จำเลยอ้างว่ารายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้อีกจำนวน 53,390 บาท ไม่ถือว่าเป็นรายจ่ายนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะความจริงโจทก์ได้จ่ายไปจริงและเป็นรายจ่ายที่โจทก์พิสูจน์ได้ทั้งสิน ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ที่โต้แย้งการประเมินสำหรับปี 2516มิได้กล่าวถึงค่าถมทรายแต่อย่างใด นอกจากนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่าจำนวนเงิน 1,705,287 บาท 45 สตางค์นั้นเป็นรายรับของโจทก์ในปี 2516 ที่เพิมขึ้นเนื่องจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินรายรับขึ้นใหม่ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาสิ่งปลูกสร้างของกรมโยธาธิการ ส่วนจำนวนเงิน 53,390 บาท ก็เป็นรายจ่ายที่โจทก์ลงบัญชีไว้ว่าเป็นค่าขนส่ง แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสำหรับปี 2516โจทก์หาได้ฟ้องว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะความจริงโจทก์มีรายจ่ายค่าถมทราบไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่โจทก์นำสืบว่าในปี 22516 โจทก์ได้จ่ายค่าถมทรายไปตามใบเสร็จ 7 ฉบับเป็นการนอกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับรายจ่ายของโจทก์ในปี 2517 รวมเป็นเงิน 1,280,000 บาทโดยฉบับแรกนายประกิจ เรื่องปัญญาพจน์ กรรมการบริษัทโจทก์คนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้รับเงินฉบับที่สองไม่ปรากฎชัดว่าผู้ใดเป็นผู้รับเงินฉบับที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 นายปัง แซ่เล้า ลูกจ้างโจทก์เป็นผู้รับเงินฉบับที่ 6 นายอดุลย์ เลิศประเสริฐศิลป์ เป็นผู้รับเงิน เห็นว่าค่าซื้อทรายดังกล่าวนี้โจทก์เพิ่งกล่าวอ้างขึ้นมีจำนวนใกล้เคียงกับรายรับที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตรวจพบ ทั้งนายประกิจและนายปังเป็นกรรมการและลูกจ้างของโจทก์เอง ส่วนนายอดุลย์แมิมิใช่ลูกจ้างโจทก์ แต่ก็มีอาชีพทำการรับจ้างดัดเหล็ก และโจทก์มีลูกจ้างไปซื้อทรายจากเรือเร่มาให้ได้อยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะให้นายอดุลย์ไปซื้อทรายจากเรือเร่มาขายเอากำไรจากโจทก์อีก พยานหลักฐานโจทก์ในเรื่องการซื้อทราย 1,,280,000 บาท จึงมีพิรุธ รับฟังไม่ได้ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยเรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้รับเงินดังกล่าวแล้วต้องฟังว่าโจทก์ได้จ่ายค่าซื้อทรายไปจริงนั้น เห็นว่า เป็นเหตุที่เกิดขึ้นภายหลังทั้งเป็นคนละเรื่องกันจะนำมาสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์มิได้ อย่างไรก็ดีปรากฎว่าในชั้นตรวจสอบจำเลยที่ 1 เคยยอมให้โจทก์หักค่าถมทรายเป็นรายจ่ายได้ร้อยละ 50 ของรายรับที่เพิ่มขึ้น ทั้งโจทก์ก็มีพยานหลักฐานมานำสืบแสดงว่าที่ดินที่โจทก์สร้างศูนย์การค้าเป็นที่ลุ่ม โจทก์ต้องถมทรายก่อนจึงทำการก่อสร้าง จำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้เถียงความข้อนี้แต่อย่างใด เชื่อว่าโจทก์มีรายจ่ายค่าซื้อทรายถมที่ดินในปี2517 จริง แต่ไม่เต็มตามที่อ้าง ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรให้โจทก์หักเป็นรายจ่ายเพียงร้อยละ 50 ของจำนวนเงิน 1,280,000 บาท เป็นเงิน 640,000 บาท ดังศาลชั้นต้นวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า หากศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ก็ขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ประเมินภาษีโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517 ใหม่เสียด้วย ข้อนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 88/2525 เฉพาะในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517นอกจากที่แก้ให้คงไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นก็พิพากษาไว้แล้วว่าให้โจทก์นำรายจ่ายที่พิสูจน์ได้จำนวน 640,000 บาทไปเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ดังนี้เป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นให้โจทก์นำรายจ่าย 640,000 บาทมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณโดยหักรายจ่ายดังกล่าว เป็นการชำระตามหนังสือแจ้งการประเมิน แต่แถ้ไขให้ถูกต้องตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 หาต้องทำการประเมินใหม่ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.