คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3386-3387/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การหย่อนสมรรถภาพในการทำงานไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดประการหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ข้อบังคับองค์การทอผ้าว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ.2521ข้อ 3.4กำหนดว่า ‘ค่าจ้าง’ หมายความว่า เงินที่องค์การทอผ้าจ่ายให้แก่พนักงานประจำเพื่อตอบแทนการทำงานของพนักงานประจำเป็นรายวันรวมทั้งเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบด้วย แต่ไม่รวมเงินตอบแทนในลักษณะค่าล่วงเวลา โบนัส เบี้ยเลี้ยงเบี้ยกรรมการหรือประโยชน์อย่างอื่น’ ค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง จึงมิใช่’ประโยชน์อย่างอื่น’ ตามคำจำกัดความข้างต้น และตามคำจำกัดความดังกล่าวมิได้กำหนดว่าค่าจ้างไม่รวมถึงค่าครองชีพ จึงนำค่าครองชีพมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จได้
ระเบียบองค์การทอผ้าว่าด้วยการหักเก็บรายได้ของพนักงานไว้เป็นเงินประกันตัว พ.ศ.2525 เป็นเงื่อนไขในการจ้างหรือการทำงาน เป็นกรณีที่เกี่ยวแก่ประโยชน์ของนายจ้างและลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้าง หรือการทำงานเป็นสภาพการจ้าง และเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยประสงค์จะใช้สิทธิตามระเบียบดังกล่าวเพื่อบังคับโจทก์ให้ชำระหนี้ร้านค้าสวัสดิการของจำเลยที่ค้างชำระโดยหักคืนจากเงินประกันตัวที่โจทก์วางไว้ จึงเป็นคดีพิพาทตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างชอบที่ศาลแรงงานจะรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอบังคับดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำโดยได้รับค่าจ้างค่าครองชีพอีกเป็นรายเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุหย่อนความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่การงาน โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย ไม่จ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับองค์การทอผ้าว่าด้วยกองทุนเงินบำเหน็จ พ.ศ. 2521 และไม่คืนเงินประกันตัวแก่โจทก์ทั้งสอง จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย เงินบำเหน็จและเงินประกันตัวแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยให้การทั้งสองสำนวนว่า ค่าครองชีพไม่มีลักษณะเป็นค่าตอบแทนการทำงานจึงไม่อาจนำไปรวมคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และเงินบำเหน็จตามข้อบังคับองค์การทอผ้าว่าด้วย การพนักงาน พ.ศ. 2523 ข้อ 21(4) โจทก์ทั้งสองถูกเลิกจ้างเพราะหย่อนความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่การงาน เป็นเหตุบกพร่องของโจทก์ทั้งสองเอง ไม่ใช่เกิดจากจำเลย จึงไม่มีสิทธิเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเงินค่าประกันตัวรวมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ที่ 1 มีเพียง 1,650 บาท โจทก์ที่ 2 มีเพียง1,978.49 บาท ตามระเบียบองค์การทอผ้าว่าด้วยการหักเก็บรายได้ของพนักงานไว้เป็นเงินประกันตัว พ.ศ. 2525 ข้อ 6.2 กำหนดไว้ว่า หากพนักงานผู้ใดออกจากงานและมีหนี้สินที่ต้องชำระแก่จำเลยหรือร้านค้าสวัสดิการพนักงานผู้นั้นต้องยอมให้จำเลยหักเงินประกันตัวเป็นการชำระหนี้ได้ทันที โจทก์ที่ 1 เป็นหนี้ร้านค้าสวัสดิการของจำเลย 482.50บาท โจทก์ที่ 2 เป็นหนี้ 2,103.49 บาท เหตุนี้ จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับโจทก์ที่ 1ชำระเงิน 482.50 บาท ให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงิน 2,103.49 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่จำเลย

วันนัดพิจารณา โจทก์ทั้งสองแถลงไม่ติดใจยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชย เงินบำเหน็จ และเงินประกันตัว พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง ให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า การหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มิใช่เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย มิใช่ละเลยบไม่นำพาต่อคำเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ไม่เป็นการรละทิ้งการงานไปเสีย ไม่เป็นการทำผิดอย่างร้ายแรงและไม่เป็นการทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดประการหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ที่จำเลยจะเลิกจ้างเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

จำเลยอุทธรณ์เรื่องเงินบำเหน็จว่า ตามข้อบังคับของจำเลยข้อ 3.3 และข้อ 3.4 จะนำค่าครองชีพมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จไม่ได้ พิเคราะห์แล้วโจทก์ทั้งสองเป็นพนักงานรายวัน กรณีจึงปรับด้วย ข้อ 3.4 มิใช่ข้อ 3.3 ข้อ 3.4 กำหนดว่า “ค่าจ้าง”หมายความว่า เงินที่องค์การทอผ้าจ่ายให้แก่พนักงานประจำเพื่อตอบแทนการทำงานของพนักงานประจำเป็นรายวันรวมทั้งเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบด้วยแต่ไม่รวมเงินตอบแทนในลักษณระค่าล่วงเวลา โบนัส เบี้ยเลียง เบี้ยกรรมการ หรือประโยชน์อย่างอื่น” ค่าครองชีพถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง จึงมิใช่ “ประโยชน์อย่างอื่น” ตามคำจำกัดความข้างต้น ตามคำจำกัดความดังกล่าวมิได้กำหนดว่า ค่าจ้างไม่รวมถึงค่าครองชีพ ที่ศาลแรงงานกลางนำค่าครองชีพมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จ จึงชอบด้วยข้อบังคับฯ แล้ว

จำเลยอุทธรณ์อีกว่า จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับโจทก์ทั้งสองชำระหนี้ร้านค้าสวัสดิการของจำเลยตามฟ้องแย้งได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบองค์การทอผ้าว่าด้วยการหักเก็บรายได้ของพนักงานไว้เป็นเงินประกันตัว พ.ศ. 2525 ข้อ 6.2 อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 อันเป็นกฎหมายแรงงาน ศาลแรงงานกลางชอบที่จะพิจารณาพิพากษาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ระเบียบฯ เอกสารหมายเลข 2 ท้ายคำให้การมีสาระสำคัญว่าผู้ที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงาน ผู้นั้นจะต้องมีเงินประกันซึ่งอาจเป็นเงินหรือสิ่งของไม่น้อยกว่ารายได้ของผู้ที่ได้รับการบรรจุมามอบให้แก่จำเลยยึดไว้เป็นเงินประกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีผู้ค้ำประกันโดยมีหลักทรัพย์ ในกรณีที่พนักงานได้รับการบรรจุอยู่ก่อนใช้ระเบียบดังกล่าว ต้องยอมให้จำเลยหักรายได้เป็นร้อยละของรายได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อ 4 ทุกเดือนหรือทุกงวดแล้วแต่กรณี ตามข้อ 6.2 เมื่อพนักงานออกจากงาน จำเบลยจะคืนเงินประกันพร้อมกับดอกเบี้ยให้ เว้นแต่พนักงานผู้นั้นมีหนี้สินที่จะต้องชำระแก่จำเลยหรือร้านค้าสวัสดิการ พนักงานผู้นั้นต้องยอมให้จำเลยหักเงินประกันการชำระหนี้ สาระสำคัญของระเบียบฯ เช่นว่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเงื่อนไขในการจ้างหรือการทำงาน เป็นกรณีที่เกี่ยวแก่ประโยชน์ของนายจ้างหรือลูกจ้าง อันเกี่ยวกับการจ้งหรือการทำงาน เป็นสภาพการจ้าง และเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามที่จำเลยอุทธรณ์จริง บัดนี้ จำเลยประสงค์จะใช้สิทธิตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรียกร้องให้โจทก์ทั้งสองชำระหนี้ร้านค้าสวัสดิการของจำเลยจึงเป็นคดีพิพาทตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ชอบที่ศาลแรงงานจะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ ซึ่งข้อหาตามฟ้องแย้งของจำเลยนั้น โจทก์ทั้งสองไม่ติดใจยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งประการใด ใช่แต่เท่านั้น กลับแถลงรับว่าเป็นหนี้จำเลยจริงตามฟ้องแย้งและรับว่า จำเลยมีสิทธิหักคืนจากเงินประกันตัวที่โจทก์ทั้งสองวางไว้เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติดังนี้แล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชำระหนี้ให้จำเลยเป็นการเสร็จไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาใหม่อีกโจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้คืนเงินประกันตัว 1,650 บาท ต้องหักชำระหนี้จำเลยตามฟ้องแย้ง482.50 บาท คงได้คืนเงินประกันตัว 1,167.50 บาท โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้คืนเงินประกัน1,978.49 บาท แต่เป็นหนี้จำเลย 2,103.49 บาท เมื่อหักเงินประกันตัวออกแล้วจึงเป็นหนี้จำเลยอีก 125 บาท และสามารถหักจากสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า1,766.67 บาทได้อีก คงเหลือสินจ้างแทนการบอกกล่าวที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,641.67 บาท ชอบที่ศาลฎีกาจะพิพากษาไปตามที่คู่ความแถลงรับกัน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1จำนวน 1,766.67 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,641.67 บาท ให้จำเลยชำระเงินค่าประกันตัวแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 1,167.50 บาท และจำเลยไม่ต้องชำระเงินค่าประกันตัวแก่โจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share