คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2487

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รับข้างเขียนคำร้องทุขโดยรู้หยู่ว่าเปนความไม่จิง และเปนการหมิ่นประมาทผู้อื่นนั้น ย่อมมีความผิดถานสมคบกันหมิ่นประมาท

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ไช้หรือจ้างวานจำเลยที่ ๒-๓ ทำคำร้องทุขยื่นต่อข้อหลวงประจำจังหวัดโดยได้ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ที่สาลากลางจังหวัดปัตตานี โดยมิได้ไส่ซอง ขอไห้นำเสนอข้าหลวงประจำจังหวัด เจ้าหน้าที่ได้ตรวจอ่านและรับนำเสนอตามลำดับจนถึงข้อหลวง จำเลยที่ ๒ เปนผู้เรียบเรียงคำร้องนั้น จำเลยที่ ๓ เปนผู้เขียน อันมีข้อความว่า “จำเลยที่ ๑ ถูกนายหะยีวามะกำนันกับนายดิงผู้ไหย่บ้านยกปืนจะยิง แต่มีผู้ขัดขวางไว้ยิงไม่ได้ แล้วคนทั้งสองจับเอาจำเลยที่ ๑ ไปบังคับขู่เข็นเอาเงินไป ๒๐ บาท จึงปล่อยจำเลยที่ ๑ ไป ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไปร้องทุขต่อจ่านายสิบตำหรวดมาสที่สถานีตำหรวดยะรังถึง ๘ ครั้ง จ่านายสิบตำหรวดมาสไม่จัดการไห้ กลับห้ามจำเลยที่ ๑ ไห้นิ่งเสียถ้าไม่ฟังจะขัง” อันไม่เปนความจิง
สาลชั้นต้นพิพากสายกฟ้อง
สาลอุธรน์เห็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิด แต่ถูกสาลทหารพิพากสาลงโทสไนเรื่องแจ้งความเท็ดและร้องเรียนเท็ดอันเปนกรนีเดียวกับเรื่องนี้เท็ดไปแล้ว จะลงโทสซ้ำอีกไม่ได้ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้รู้เรื่องแล้วยังรับจ้างเรียงคำร้องไห้จำเลยที่ ๑ อีก ย่อมมีความผิด นอกนี้พิพากสายืน
จำเลยที่ ๒ ดีกา สาลดีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ รู้เรื่องความจิงแล้วยังรับจ้างเรียบเรียงคำร้องไห้จำเลยที่ ๑ นั้นเปนเรื่องสแดงเจตนาของจำเลยหาไช่เปนข้อเท็ดจิงนอกประเด็นไม่ และการที่จำเลยที่ ๒ เรียบเรียงคำร้องไห้จำเลยที่ ๑ ตามคำบอกเล่าของจำเลยที่ ๑ นั้น เมื่อจำเลยที่ ๒ ณุ้เรื่องความจิงหยู่แล้ว ย่อมเปนการสมคบร่วมคิดไนการกะทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์

Share