คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมาขอรับชำระหนี้แม้จะเป็นหนี้รายเดียวกับที่เจ้าหนี้นำมาเป็นมูลฟ้องลูกหนี้ล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วก็ตาม แต่ก็หามีผลผูกพันให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และศาลจำต้องถือตามไม่.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลย) เด็ดขาด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2530 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยรวม 359,702.06 บาท
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เกิดจาการสมยอมกัน เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีอำนาจตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104กับทำการสอบสวนในเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นเสนอพร้อมกับสำนวนต่อศาลตามมาตรา 105 การสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินไปเพื่อค้นคว้าหาความจริงป้องกันมิให้เจ้าหนี้นำหนี้ที่สมยอมหรือไม่ถูกต้องอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 94 มาขอรับชำระหนี้ และศาลก็มีอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งคำขอรับชำระหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอมาตามมาตรา 106,107 แม้ว่าหนี้ที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมาขอรับชำระ จะเป็นหนี้รายเดียวกับที่เจ้าหนี้นำมาเป็นมูลฟ้องลูกหนี้ล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดในคดีล้มละลายเรื่องนี้แล้วก็ตาม หามีผลผูกพันให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และศาลจำต้องถือตามไม่และวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปว่า เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์เบิกความไม่แน่นอน ทั้งไม่มีพยานอื่นสนับสนุนว่าลูกหนี้ได้ลงชื่อเป็นผู้กู้และรับเงินตามสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1จึงไม่น่าเชื่อว่ามีการกู้เงินและรับเงินกู้ไปจริง ศาลล่างทั้งสองยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share