คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1595/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวนั้น แม้ในฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิด วันเดือนปีใด ก็ตาม เมื่อฟ้องข้ออื่นสมบูรณ์แล้ว ก็หาทำให้ฟ้องโจทก์ถึงกับเคลือบคลุมไม่ เพราะข้อที่โจทก์มิได้บรรยายนั้น เป็นเพียงแต่ข้อนำสืบต่อไปว่า ได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อใดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า เดิมโจทก์จำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์ขอแบ่งมรดก แล้วตกลงยอมความกันให้แบ่งนาพิพาท ได้แก่จำเลยที่ ๑ และทายาทของนายชุ่ม ศาลได้พิพากษาคดีโจทก์ให้เป็นไปตามสัญญายอมความดังกล่าวครั้นต่อมา จำเลยทั้งสามในคดีนี้ได้สมคบกันฉ้อโกงโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทแก่จำเลยที่ ๒ แล้วต่อมาจำเลยที่ ๒ ขายแก่จำเลยที่ ๓ อีกต่อหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ขอยึดนาพิพาทเพื่อแบ่งตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๓ ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน จึงขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๐๘,๖๓
จำเลยทั้ง ๓ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๓ ผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๐๘
จำเลยทั้ง ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลยทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีครบถ้วนตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘(๕) แล้ว เพียงแต่โจทก์มีบรรยายว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อวันเดือนปีได้ หาทำให้ฟ้องโจทก์ถึงกับเคลือบคลุมตามกฎหมายไม่ เพราะข้อที่โจทก์มิได้บรรยายนั้น เป็นเพียงแต่ข้อนำสืบต่อไปว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันเดือนปีใด เท่านั้น ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน

Share