คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาท ในอัตราค่าเช่าเท่าใด คงได้ความเพียงว่า ผู้ร้องเสียค่าเช่า ให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 120 บาท ดังนั้น ค่าเช่าในขณะ ยื่นคำฟ้องจึงฟังได้ว่าไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท คู่ความในคดีฟ้องขับไล่เดิมนั้นจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่และ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ไม่ว่าศาล จะฟังว่าผู้ร้องสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่ก็ตาม คดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสามที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยโดย โจทก์รู้เห็นยินยอม ผู้ร้องจึงเป็นผู้เช่าโดยตรงจากโจทก์และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับผู้ร้องเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทน พิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว คดีฟ้องขับไล่ระหว่างโจทก์จำเลยในคดีเดิมจะมีการ ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาของจำเลยถูกต้อง ผิดพลาดหรือไม่นั้น หาได้มีผลเกี่ยวข้องกับคดีของผู้ร้อง ที่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลว่าตนมิใช่บริวารของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) แต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย ไม่เกี่ยวกับคดีของผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 78/2 หมู่ที่ 13 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร ของโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำประกาศลงวันที่ 26 มิถุนายน 2539 ไปปิดไว้ที่บ้านเลขที่ 78/2 ดังกล่าวข้างต้นเพื่อให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้เป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องและครอบครัวได้เข้าครอบครองและอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวอันเป็นบ้านพิพาทเนื่องจากผู้ร้องมีอำนาจพิเศษที่จะครอบครองบ้านพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ เดิมจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ ต่อมาจำเลยนำบ้านพิพาทให้ผู้ร้องเช่าช่วงโดยความยินยอมของโจทก์โดยจำเลยเรียกเงินค่าตอบแทน 150,000 บาทจากผู้ร้อง ส่วนโจทก์เรียกเงินค่าโอนสิทธิตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลย 5,000 บาท จากผู้ร้อง ผู้ร้องได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยและโจทก์แล้ว โจทก์ จำเลยและผู้ร้องร่วมกันไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนสิทธิการเช่าต่อเจ้าพนักงานที่สำนักงานที่ดิน กรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียนเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2533 เจ้าพนักงานประกาศครบ 30 วันแล้ว โจทก์และจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าให้ผู้ร้องแต่ผู้ร้องได้เข้าครอบครองและอยู่อาศัยที่บ้านดังกล่าวเรื่อยมาระหว่างที่ผู้ร้องครอบครองและอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทโจทก์ให้บุตรสาวมาเก็บค่าเช่าจากผู้ร้องในอัตราค่าเช่าเดือนละ 120 บาทตลอดมา ถือว่าโจทก์ได้ทำสัญญาใหม่กับผู้ร้องต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาผู้ร้องมีสิทธิครอบครองบ้านพิพาทอาศัยตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาและขับไล่ผู้ร้องขอให้งดการบังคับคดีแก่ผู้ร้อง
โจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องไม่มีหลักฐานแสดงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจพิเศษที่จะอ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลย ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้สืบเนื่องมาจากเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 78/2 หมู่ที่ 13แขวงบางปะกอก เขตราษฎรณ์บูรณะ ซึ่งจำเลยเช่าไปจากโจทก์อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏในสำนวนว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทในอัตราค่าเช่าเท่าใดคงได้ความจากคำร้องของ ผู้ร้องว่าผู้ร้องเสียค่าเช่าให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 120 บาท ดังนั้นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องจึงฟังได้ว่าไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทคู่ความในคดีฟ้องขับไล่เดิมนั้นจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองเมื่อปรากฏว่าคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ไม่ว่าศาลจะฟังว่าผู้ร้องสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่ก็ตาม คดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลย โดยโจทก์รู้เห็นยินยอมผู้ร้องจึงเป็นผู้เช่าโดยตรงจากโจทก์และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับผู้ร้องเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของผู้ร้องข้อนี้มาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีเดิม เป็นเรื่องที่ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องโดยตรงหาใช่เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างโจทก์จำเลยในคดีเดิมไม่ นั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลอ้างว่ามิใช่บริวารของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3)การที่คดีฟ้องขับไล่ระหว่างโจทก์จำเลยในคดีเดิมจะมีการส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาของจำเลยถูกต้องผิดพลาดหรือไม่หาได้มีผลเกี่ยวข้องกับคดีของผู้ร้องไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยไม่เกี่ยวกับคดีของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share