คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่มีเจตนายิงปืนเพื่อฆ่าผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายไว้ในขณะที่อาวุธปืนขึ้นนกโดยมีกระสุนบรรจุในรังเพลิงและได้ทำอาวุธปืนลั่น ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาท บาดแผลกระสุนปืนถูกหางคิ้วซ้าย ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังขาดหายไปเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาวข้างซ้ายอย่างมากแก้วตาซ้ายขุ่นมัวมาก ใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน ผู้เสียหายรักษาตัวที่โรงพยาบาล7 วัน แล้วกลับไปอยู่บ้านแต่ก็ต้องไปตรวจเป็นระยะ ๆ และตาซ้ายยังมองเห็นพร่า ๆ อยู่ ถือได้ว่าเป็นอันตรายถึงสาหัส โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนและมีเครื่องกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน2 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงประทุษร้ายร่างกายนางสาวกษมา ศักดิ์ศรีสกุล ผู้เสียหาย 1 นัดโดยเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ฉบับที่ 44)ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 กับให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 6 เดือน จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนและทางนำสืบในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุก 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนคงจำคุก 3 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288 ให้จำคุก 12 ปี ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 12 ปี 9 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายนั้นือาวุธปืนอยู่ในลักษณะขึ้นนกและมีกระสุนบรรจุอยู่ในรังเพลิงแล้ว ทำให้น่าเชื่อว่าเหตุที่อาวุธปืนได้ลั่นขึ้นและกระสุนปืนไปถูกผู้เสียหายที่หางคิ้วซ้ายเป็นเพราะผู้เสียหายสะบัดมือและปัดป้องอาวุธปืนจากจำเลยมากกว่า เมื่ออาวุธปืนลั่นกระสุนปืนถูกผู้เสียหายล้มลงแล้ว อีกประมาณ 2 นาที จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงตัวเอง ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครมายังที่เกิดเหตุ หากจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายแล้วก็ย่อมทำได้เพราะยังมีกระสุนปืนเหลืออยู่ในรังเพลิงและมีโอกาสใช้อาวุธปืนเลือกยิงหรือยิงซ้ำที่อวัยวะสำคัญของผู้เสียหายได้ตลอดเวลา แต่จำเลยก็ไม่ได้กระทำเช่นนั้นและด้วยความสำนึกผิดประกอบกับเกรงกลัวความผิด จำเลยจึงได้ยิงตัวเองโดยเจตนาฆ่าตัวตาย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนายิงปืนเพื่อฆ่าผู้เสียหาย แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ศรีษะผู้เสียหายไว้ในขณะที่อาวุธปืนอยู่ในลักษณะขึ้นนกโดยมีกระสุนบรรจุในรังเพลิงและได้ทำอาวุธปืนลั่น ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้น แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาท บาดแผลกระสุนปืนถูกหางคิ้วซ้ายผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังขาดหายไป เลือดออกใต้เยื่อบุตาขาวข้างซ้ายอย่างมาก แก้วตาซ้ายขุ่นมัวมาก ใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน และผู้เสียหายรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช7 วัน แล้วกลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ต้องไปตรวจเป็นระยะ ๆ ปัจจุบันตาซ้ายยังมองเห็นพร่า ๆ อยู่ ดังนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสและโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องไว้ด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ให้จำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีและพาอาวุธปืนแล้วคงจำคุกจำเลยรวมทั้งสิ้น 2 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share