คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15913/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องในคำฟ้องอ้างเหตุที่เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะเป็นการโทรมหญิงเท่านั้น แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่า จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัล แต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แสดงว่าโจทก์มิได้ประสงค์ให้ความผิดที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดต่อหน้าธารกำนัล และเมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณารับฟังไม่ได้ว่าการร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 มีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสาม คงเป็นความผิดตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง อันเป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น ย่อมตกลงยอมความกันได้ตามมาตรา 281 เมื่อมีการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง ของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 276
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวชุ่มชื่น ผู้เสียหายจริง แต่มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เมื่อลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) แล้ว จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยที่ 1 แล้ว และข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดอันยอมความได้ ศาลจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า เมื่อนายพิพัฒน์ เข้าไปในห้องน้ำแล้วเห็นนายนิวัฒน์กำลังกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่ แสดงว่านายนิวัฒน์กำลังกระทำชำเราผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัล จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนายนิวัฒน์ย่อมไม่อาจยกเอาเรื่องที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความมาเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ เห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับนายนิวัฒน์ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัลก็ตาม แต่ปรากฏตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องอ้างเหตุที่เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะเป็นการโทรมหญิงเท่านั้น มิได้บรรยายในคำฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัลด้วย แม้ข้อเท็จจริงที่ว่าการที่จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายได้กระทำต่อหน้าธารกำนัลจะมิใช่องค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัลเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ในคดีนี้ เพราะปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่าผู้เสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายจำเลยที่ 1 จำนวน 225,000 บาท จนเป็นที่พอใจแล้วและไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป ตามบันทึกการมอบเงินค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งลงวันที่ 21 เมษายน 2551 ท้ายคำฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยที่ 1 ดังกล่าวถือได้ว่าผู้เสียหายได้ยอมความกับจำเลยที่ 1 โดยถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมส่งผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าวซึ่งศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ข้อเท็จจริงเรื่องการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำต่อหน้าธารกำนัลจึงเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่โจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้อง เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาสามารถต่อสู้คดีโดยเฉพาะในปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ได้อย่างเต็มที่ ดังนี้ แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับนายนิวัฒน์ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัล แต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องแสดงว่าโจทก์มิได้ประสงค์ให้ความผิดที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดต่อหน้าธารกำนัล และเมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณารับฟังไม่ได้ว่าการร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายของจำเลยที่ 1 มีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม คงเป็นความผิดตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง อันเป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น ย่อมตกลงยอมความกันได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 บันทึกการมอบเงินค่าสินไหมทดแทนลงวันที่ 21 เมษายน 2551 ท้ายคำฟ้องจึงเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) แล้ว จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี และปรับ 9,000 บาท และเมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 2 ตลอดระยะเวลารอการลงโทษ โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน และให้จำเลยที่ 2 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 2 เห็นสมควรกำหนดเป็นเวลา 72 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share