คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมให้โจทก์เช่าศาลท่าน้ำและชานศาลาเป็นท่าขึ้นลงสำหรับที่เรือจ้างรับส่งคนโดยสาร เมื่อศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญายอมความนั้นแล้วผลก็ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้นตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 145 วรรคแรก จำเลยจะอ้างว่า ต้องทำสัญญาเช่ากันใหม่ เพราะเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าโจทก์ไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่าใหม่แล้ว จำเลยก็ยังไม่ยอมให้โจทก์เช่า ดังนี้ ไม่ได้เพราะการเช่าย่อมเกิดขึ้นแล้วตามสัญญายอมความ และตามสัญญายอมความก็ไม่มีข้อความว่าจะต้องไปทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่ ฉะนั้นถ้าจำเลยขัดขืนโจทก์ก็ขอให้ศาลออกคำบังคับจำเลยได้ทีเดียว

ย่อยาว

โจทก์จำเลยเป็นความพิพาทกันเรื่องสิทธิในศาลาท่าน้ำ แล้วตกลงทำสัญญาประณีประนอมยอมความกัน ดังนี้ ฯลฯ
จำเลยยอมให้โจทก์ที่ ๒ เช่าศาลาท่าน้ำและชานศาลาเป็นท่าขึ้นลงสำหรับที่เรือจ้างรับส่งคนโดยสาร โดยฝ่ายโจทก์ที่ ๒ ยอมชำระค่าเช่าให้จำเลยวันละ ๒ บาท นับแต่วันรื้อไม้กั้น ม้านั่งและรั้วที่จำเลยกั้นบนศาลาและชานศาลานี้ออกให้ไปเสร็จทั้งนี้จะได้ปฏิบัติให้++ภายใน ๗ วัน และโจทก์ที่ ๒ ยินยอมชำระค่าเช่าให้จำเลยนับแต่วันนั้นเป็นต้นไป ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ครั้นครบกำหนด ๗ วันแล้ว จำเลยไม่ได้จัดการตามยอม โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับ โจทก์จำเลยมาศาลพร้อมกัน คงได้ความว่าจำเลยทำสัญญาเช่าให้โจทก์เซ็น เพราะถือว่าเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือ แต่โจทก์ไม่ยอมเซ็นเพราะเห็นว่าสัญญาเช่าที่จำเลยเซ็นมีกำหนดเวลาเพียง ๑ ปี เท่านั้น
ในที่สุดโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับจำเลยศาลจึงออกคำบังคับมีกำหนด ๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้ว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับคดีนี้ เมื่อศาลพิพากษาให้เป็นไปตามยอมแล้ว ผลก็เกิดขึ้นตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๕ วรรคแรกซึ่งผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญานั้น สัญญายอมความมีข้อความแสดงว่าตกลงเช่ากันแล้ว หามีข้อความกล่าวว่าจะต้องไปทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่ ฉะนั้นที่จำเลยอ้างว่าไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญายอมความ เพราะโจทก์ที่ ๒ เองไม่ปฏิบัติโดยไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่า จึงฟังไม่ขึ้น ฯลฯ
จึงพิพากษายืน

Share