คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรงเรือนโดยอ้างว่าจำเลยอาศัย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเข้าอยู่โดยไม่ใช่อาศัย แต่อยู่เพราะข้อสัญญาที่โจทก์จะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลย แล้วกลับไม่โอน เช่นนี้ ศาลชอบที่จะยกฟ้องเสีย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิโดยการเช่าในห้องแถวสองชั้นเลขที่ 3/3 ซอยนาคบำรุง ตำบลมหานาค อำเภอป้อมปราบ จังหวัดพระนครเมื่อประมาณ 3-4 เดือนมานี้ จำเลยได้ขออาศัยอยู่ร่วมในห้องเช่าของโจทก์ เฉพาะส่วนหนึ่งของห้องชั้นบนโดยไม่มีกำหนดเวลา เมื่อจำเลยได้เข้ามาอยู่อาศัยแล้วไม่นาน จำเลยกับภรรยาจำเลยมักมีปากเสียงทะเลาะกับโจทก์และภรรยาโจทก์เนือง ๆ โจทก์ได้บอกให้จำเลยขนย้ายไปอยู่ที่อื่น จำเลยก็เพิกเฉยเสีย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่าของโจทก์

จำเลยให้การว่า ไม่ได้ขออาศัยอยู่ร่วมกับโจทก์ในห้องเช่าตามฟ้อง .โจทก์ได้หลอกลวงจำเลยว่า จะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยเป็นราคา 40,000 บาท โดยให้จำเลยวางเงินมัดจำให้โจทก์ 12,000 บาทแล้วให้จำเลยเข้าไปอยู่ในห้องชั้นบนก่อน โดยเสียเงินค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 60 บาท เมื่อโจทก์หาที่อยู่ได้แล้วโจทก์จะออกไปจากห้องเช่า และโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยอยู่แต่ผู้เดียว แล้วจำเลยจึงชำระเงินค่าโอนอีก 28,000 บาท ให้โจทก์ จำเลยหลงเชื่อจึงชำระเงินมัดจำค่าโอน 12,000 บาท ให้โจทก์ และเข้าอยู่ในห้องชั้นบนทั้งชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ไปแล้ว 3 เดือน เป็นเงิน 180 บาท ต่อมาโจทก์บิดพริ้วไม่ยอมโอนสิทธิการเช่าและไม่ยอมคืนเงิน 12,000 บาทให้จำเลย จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจพลับพลาไชยโจทก์ขอคืนเงินมัดจำให้เพียง 7,000 บาท จำเลยไม่ยอม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ได้ตกลงกับโจทก์ในการที่จะโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้แก่จำเลย ข้อนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยเพียงแต่ผู้อาศัย ยังไม่พอรับฟังได้ แต่เห็นว่า จำเลยได้ยอมเลิกสัญญากับโจทก์แล้วโดยปริยาย เพราะปรากฏตามที่จำเลยนำสืบว่า เมื่ออยู่ห้องพิพาทร่วมกับโจทก์ได้ราว 2 เดือน โจทก์ไม่โอนห้องให้จำเลยจำเลยก็ไปรับโอนห้องไว้ที่ถนนตก จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสัญญานั้น เมื่อโจทก์บอกให้จำเลยไปหาที่อยู่ใหม่จำเลยไม่ยอมออก จำเลยก็อยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีอำนาจ เพราะชั้นนี้จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัย จะอ้างว่าโจทก์ไม่คืนมัดจำให้นั้นหาได้ไม่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวกับโจทก์อีกส่วนหนึ่ง พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท

จำเลยอุทธรณ์ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะข้อกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายที่จำเลยคัดค้าน 2 ข้อ ในข้อแรกว่าโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ศาลไม่ควรรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และศาลชั้นต้นเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้นั้น เป็นการชอบแล้ว ส่วนข้อ 2 จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยโดยอ้างมูลเหตุว่า จำเลยอาศัยอย่างเดียว เมื่อฟังว่าจำเลยมิได้อาศัย ก็ชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์เสีย การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยไปเซ้งห้องใหม่ที่ถนนตก แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยได้ยอมเลิกสัญญากับโจทก์โดยปริยาย เป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อตามคำฟ้องว่า จำเลยเข้าอยู่ในห้องของโจทก์โดยขออาศัยโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ตกลงกันในการจะโอนสิทธิการเช่า ย่อมไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้ยอมเลิกสัญญากับโจทก์แล้วหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า การเข้าอยู่ของจำเลยไม่ใช่เป็นการอาศัยโจทก์ตามฟ้อง ก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสีย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับในข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีเพียงข้อเดียว ว่าจำเลยอยู่ในห้องพิพาทร่วมกับโจทก์ในฐานะที่โจทก์ให้อาศัยตามที่อ้างในฟ้อง หรืออยู่ได้โดยอาศัยสิทธิดังที่จำเลยต่อสู้ เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงสมข้อต่อสู้ของจำเลยว่า การที่จำเลยเข้าอยู่ในห้องพิพาท ไม่ใช่โดยอาศัยตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ก็ย่อมต้องแพ้คดีการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเลยไปว่า จำเลยยอมเลิกสัญญากับโจทก์แล้วนั้น หาเป็นข้อสำคัญไม่ อนึ่ง ที่โจทก์คัดค้านกล่าวความยืดยาวอ้างเป็นข้อกฎหมายหลายข้อ ซึ่งบางข้อไม่ตรงกับหลักฐานซึ่งปรากฏในสำนวนบางข้อโจทก์หาได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ไม่ ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดตัดสินชอบแล้ว

จึงให้ยกฎีกาโจทก์ โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์เสียค่าทนายความในชั้นนี้แทนจำเลยเป็นเงิน 50 บาท ด้วย

Share