แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ย่อมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือนหลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน
ย่อยาว
คดีสองสำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ตกลงเช่าโรงแรมพัทยาบีชจากจำเลยโดยจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบโรงแรมดังกล่าวพร้อมด้วยเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย แต่เมื่อทำสัญญาเช่ากันแล้วปรากฏว่าเครื่องใช้ดังกล่าวยังไม่เรียบร้อยตามสัญญาโจทก์ที่ ๑ เตือนให้จำเลยจัดการแก้ไขให้เรียบร้อย จำเลยไม่จัดการแก้ไขให้ ได้บอกให้โจทก์ที่ ๑ จัดการเอง โดยจำเลยยอมเสียค่าใช้จ่ายให้ โจทก์ได้จัดการติดตั้งและซ่อมแซมเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงขอพิพากษาให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การสรุปความว่า จำเลยมิได้รับว่าจะจัดการแก้ไขเครื่องใช้หรือขอร้องให้โจกท์จ่ายเงินแก้ไขส่วนบกพร่องต่างๆ ดังโจทก์อ้างสัญญาเช่าไม่สมบูรณ์และเป็นสัญญาปลอม
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันจะเข้าดำเนินกิจการโรงแรมพัทยาบีช เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ได้ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มาติดต่อขอเช่าโรงแรมจากโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ทำสัญญาเช่ามีกำหนด ๒ ปี อัตราค่าเช่า ๓ เดือนแรกเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เดือนต่อไปเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยประพฤติผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่า จำเลยคงค้างค่าเช่าเดือนกันยายน ตุลาคม ๒๕๑๔ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่าประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๕ เป็นเงินตามเช็ค ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่าเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม ๒๕๑๕ เดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ๓ เดือนเป็นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท รวมค้างค่าเช่าทั้งสิ้น ๓๑๐,๐๐๐ บาท และในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๕ จำเลยดำเนินกิจการในโรงแรมเป็นการละเมิด ๑๕ วัน โจทก์คิดเป็นค่าเสียหายเท่าอัตราค่าเช่าเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ขอศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากโรงแรมพัทยาบีชให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเช่าที่ค้าง ๓๑๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๓๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายถัดจากวันฟ้องจนถึงวันจำเลยส่งมอบโรงแรมพัทยาบีชคืนโจทก์ในอัตราเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การสรุปความว่า การเช่าโรงแรมพัทยาบีชโจทก์รับรองจะจัดการซ่อมให้ใช้การได้ใน ๗ วัน จำเลยที่ ๑ หลงเชื่อจึงลงชื่อในสัญญาเช่า และจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ยอมซ่อม จำเลยจึงได้ฟ้องโจทก์ตามสำนวนแรก จำเลยที่ ๓ มิได้มีส่วนร่วมในการเช่าด้วย โจทก์ติดค้างค่าซ่อมและค่าเช่าเครื่องปรับอากาศเครื่องละ ๔๐๐ บาทต่อเดือนโจทก์ยอมให้จำเลยหักเงินจำนวนนี้จากเงินค่าเช่าที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ได้จำเลยมิได้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นเรียกฝ่ายนางยวนใจ จันทรังษี กับพวกว่าโจทก์ เรียกฝ่ายนางสาวจงสวัสดิ์ ไกรฤกษ์ ว่าจำเลย
ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๖ คือ
๑. จำเลยยอมให้โจทก์เช่าต่อไปอีก ๒ ปี นับแต่วันสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๖ คิดค่าเช่าเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาทตามเดิม โดยโจทก์ต้องชำระค่าเช่าทุกเดือนไม่ขาด
๒. โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างจำเลยมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ขอให้นัดพร้อมกันวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๖
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๖ คู่ความแถลงต่อศาลดังปรากฏความในรายงานกระบวนพิจารณาคือ
๑. คู่ความแถลงตกลงรับกันว่า โจทก์ค้างค่าเช่ามาก่อนเดือนกันยายน ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท
๒. จำเลยแถลงว่า โจทก์ยังค้างค่าเช่าแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๕ เรื่อยมาจนถึงมิถุนายน ๒๕๑๖ รวม ๑๐ เดือน เดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่าได้ค้างค่าเช่าแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๕ ถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๑๕ เท่านั้น ต่อจากนั้นมาโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๖ เพราะเป็นผิดของฝ่ายจำเลยที่ไปร้องต่อทางการไม่ให้ต่อใบอนุญาตให้ โจทก์จึงไม่ต้องชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๖ จนถึงขณะนี้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามที่ได้ตกลงกันในรายงานดังกล่าวแม้โจทก์จะเถียงตามข้อ ๒ แต่รูปคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลงโดยจำเลย(นางสาวจงสวัสดิ์ ไกรฤกษ์ หรือบริษัทโฮเต็ลพัทยาบีช จำกัด) ต้องให้โจทก์(นางยวนใจ จันทรังษี หรือ นายบิลลี่ ดี วอเรน) เช่าโรงแรมพัทยาบีชต่ออีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๖ โดยคิดอัตราค่าเช่าเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระทุกเดือนไปไม่ขาด และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างจนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๑๖ ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์แล้ว คงเหลือเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยจำนวน ๓๓๒,๕๐๐ บาท โดยให้ชำระภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๖ และให้โจทก์ชำระค่าเช่าเดือนต่อ ๆ ไปเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท จนหมดอายุการเช่า ส่วนนางยวนใจ จันทรังษี จำเลยที่ ๓ นั้นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะเกี่ยวกับค่าเช่าที่ค้างชำระว่า โจทก์ควรชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๕ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๑๕ เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์ชำระค่าเช่าต่อไปอีก ๖ เดือน นับแต่มกราคม ๒๕๑๖ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๑๖ เป็นการนอกฟ้องและนอกข้อตกลง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเช่าที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๕ ว่า ค้างกันเพียง ๔ เดือน เป็นเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องชำระค่าเช่าตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
วินิจฉัยว่า ศาลฎีกาเห็นว่าในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๖ เรื่องมานั้นโจทก์มิได้เถียงว่า ที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่า เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่าแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่ โจทก์ก็ร้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่า จำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่าซึ่งเป็นความผิดของจำเลยนั้น เมื่อศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบโรงแรมพิพาทเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๖ โรงแรมยังดำเนินการอยู่ โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์