แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยถูกที่ขาของผู้เสียหายที่ 1 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลไม่พบบาดแผลภายนอก อวัยวะเพศไม่พบรอยฟกช้ำหรือฉีกขาด เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด ส่งสารคัดหลั่งในช่องคลอดไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา ไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีหรือสอดใส่อวัยวะเพศเข้าสู่ช่องคลอดของผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า อวัยวะเพศของจำเลยมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จึงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 317 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 391/2553 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสมบัติ ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและจิตใจ อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2
ในคดีส่วนแพ่งจำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 279 วรรคแรก และ 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 7 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 1 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 13 ปี กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายทั้งสองเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 มิถุนายน 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกคำขอที่ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำร้องของผู้เสียหายทั้งสอง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุครั้งแรกผู้เสียหายที่ 1 อายุ 8 ปีเศษ เด็กหญิง ร. อายุ 7 ปีเศษ และเด็กหญิง พ. อายุ 8 ปีเศษ ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยใหญ่ ต่างเบิกความถึงพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ร. ได้อย่างละเอียด ยากที่เด็กทั่วๆ ไปซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะสามารถเบิกความได้สอดคล้องเชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้เช่นนั้น เริ่มตั้งแต่จำเลยเรียกเด็กทั้งสามไปที่บ้านจำเลยแล้วผู้เสียหายที่ 1 กับเด็กหญิง ร. เข้าไปในบ้านจำเลย ส่วนเด็กหญิง พ. ยืนรออยู่ที่รั้วบ้านเพื่อเฝ้าดูต้นทาง ส่วนเหตุการณ์ภายในบ้านนั้นผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ร. ก็เบิกความตรงกันว่า จำเลยให้เด็กทั้งสองถอดเสื้อผ้าแล้วนอนลง จากนั้นจำเลยใช้อวัยวะเพศถูไถอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำสีขาวข้นออกจากอวัยวะเพศของจำเลยเปื้อนที่ขาผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ลงไปล้างขาที่ห้องน้ำชั้นล่าง จากนั้นจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถอวัยวะเพศของเด็กหญิง ร. แล้วจำเลยบอกให้เด็กหญิง ร. ลงไปล้างขาที่ห้องน้ำชั้นล่างเช่นกัน ซึ่งหากผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ร. ไม่ได้เข้าไปในบ้านจำเลยและประสบเหตุการณ์มาจริงคงไม่สามารถยืนยันเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยและสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านสองชั้นและมีห้องน้ำที่ชั้นล่างได้ตรงกันเช่นนั้น อีกทั้งผู้เสียหายที่ 1 เอง ซึ่งเป็นประจักษ์พยานได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยชักชวนไปที่บ้านอีกหลายครั้งและถูกจำเลยกอดจูบแต่ไม่ได้ใช้อวัยวะเพศมาถูไถอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 อีกด้วย อันเป็นการยืนยันถึงพฤติการณ์ที่ถูกจำเลยกระทำอนาจารซึ่งก็เป็นพฤติการณ์ที่สอดคล้องกับคำพยานปากเด็กหญิง ร. ได้เบิกความถึงสิ่งที่จำเลยเคยกระทำต่อตนในทำนองเดียวกัน ส่วนเหตุการณ์ที่จำเลยให้เงินผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 140 บาท และให้เงินเด็กหญิง ร. 40 บาท นอกจากไม่เป็นข้อพิรุธแล้ว ยังสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้เงินจากจำเลยมากกว่าจึงแบ่งเงิน 40 บาท ให้แก่เด็กหญิง พ. ซึ่งเป็นคนเฝ้าดูต้นทาง และเหตุที่เด็กหญิง ร. ไม่ได้แบ่งเงินให้แก่เด็กหญิง พ. ก็เพราะได้เงินจากจำเลยน้อยกว่าผู้เสียหายที่ 1 อีกด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคง
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใด เมื่อพิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่ว่า จำเลยใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยถูกที่ขาของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปล้างขาที่ห้องน้ำชั้นล่าง ซึ่งสอดคล้องกับรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลว่าแพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายที่ 1 ไม่พบบาดแผลภายนอกจากการตรวจอวัยวะเพศไม่พบรอยฟกช้ำหรือรอยฉีกขาด เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด ได้ส่งสารคัดหลั่งในช่องคลอดไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา ไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีหรือสอดใส่อวัยวะเพศเข้าสู่ช่องคลอดของผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า อวัยวะเพศของจำเลยมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คงมีความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย เมื่อรวมกับการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 อีกหนึ่งกรรม จึงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี 2 กรรม และมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารอีกหนึ่งกรรม ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 7 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1