คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป. พวกของจำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเพราะ ป. ขับขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกศอกขึ้นกันถูกศีรษะป. สาเหตุดังกล่าวเป็นเหตุเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้ ป. กับพวกโกรธแค้นถึงกับจะต้องฆ่าผู้เสียหาย เมื่อ ป. กับพวกและจำเลยพบกับผู้เสียหาย ป. ได้พูดจาโต้เถียงแล้วพวกของ ป. ชกผู้เสียหายห. ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย จำเลยกับพวกที่เหลือเข้ามารุมต่อยแสดงว่าพวก ป. มีความโกรธเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที ทั้งไม่ปรากฏว่าได้สมคบกันมาก่อนต่างคนต่างมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น แต่ละคนจึงมีความผิดตามผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของแต่ละคน เมื่อจำเลยเพียงแต่ชกต่อยผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่มีแผลฟกช้ำซึ่งแสดงว่าถูกต่อย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามป.อ. มาตรา 391 แม้โจทก์จะไม่ได้ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 391 แต่ศาลก็มีอำนาจลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83 ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ให้จำคุก 5 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ นายแปลก เกาะชัยภูมิ ผู้เสียหายเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ผู้เสียหาย นายบัวลี สีมะนาวและนายสุรักษ์ เค้าโนนกอก พากันเดินไปดูการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนบึงมะนาว เมื่อมาถึงหน้าบ้านนายสมเกียรติ เค้าโนนกอกเห็นนายประสิทธิ์ จันทราษี นายหยอย ไม่ทราบนามสกุล นายจ่อยครองราช จำเลยกับพวกยืนคุยกันอยู่ ผู้เสียหายกับพวกเดินมาห่างประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เรียกผู้เสียหายไปหานายประสิทธิ์ขณะที่ผู้เสียหายกำลังพูดโต้เถียงกับนายประสิทธิ์นั้นพวกของนายประสิทธิ์ได้ชกที่บริเวณหูขวาของผู้เสียหาย ผู้เสียหายล้มลงนายหยอยใช้มีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 1 นิ้วแทงผู้เสียหายถูกที่ข้อมือซ้าย แขนซ้าย ราวนม จำเลยกับพวกที่เหลือได้เข้ามารุมต่อยผู้เสียหาย ผู้เสียหายปิดป้องแล้ววิ่งหนีไปที่บ้านนายสมเกียรติ ดังนี้จะเห็นได้ว่า เหตุเกิดในเวลากลางวันผู้เสียหายรู้จักจำเลยเป็นอย่างดีเพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกันทั้งจำเลยเป็นคนเรียกให้ผู้เสียหายเข้าไปหานายประสิทธิ์จึงสามารถจำเลยได้โดยไม่ผิดพลาด นายสุรักษ์พยานโจทก์ว่า พวกของนายประสิทธิ์ได้เข้าชกต่อยผู้เสียหาย นายสมาน พรมสง่า พยานโจทก์ก็ว่า ในกลุ่มของนายประสิทธิ์ไม่มีคนใดยืนเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ชกต่อยและทำร้ายผู้เสียหาย คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองจึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักมั่นคงยิ่งขึ้นที่จำเลยนำสืบว่าได้ไปในที่เกิดเหตุแต่ไม่ได้ร่วมกระทำผิดนั้นไม่อาจฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ชกต่อยผู้เสียหาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับนายหยอยด้วยหรือไม่ เห็นว่า สาเหตุที่จำเลยกับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเนื่องจากไม่พอใจที่นายประสิทธิ์ขับขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวผู้เสียหายได้ยกศอกขึ้นกันและถูกศีรษะนายประสิทธิ์ สาเหตุดังกล่าวเป็นเหตุเพียงเล็กน้อยไม่เชื่อว่าจะทำให้นายประสิทธิ์กับพวกโกรธแค้นถึงกับจะต้องฆ่าผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อผู้เสียหายกับนายประสิทธิ์ได้พูดจาโต้เถียงกันแล้วพวกของนายประสิทธิ์จึงได้ชกต่อยผู้เสียหาย แสดงว่ามีความโกรธเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที ทั้งไม่ปรากฏว่าได้สมคบกันมาก่อน จำเลยกับพวกของนายประสิทธิ์ต่างคนต่างมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้นแต่ละคนจึงต้องมีความผิดตามผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของแต่ละคนเมื่อจำเลยเพียงแต่ชกต่อยผู้เสียหาย ทั้งปรากฏจากผลการตรวจชันสูตรบาดแผลว่าผู้เสียหายมีบาดแผลถูกแทงทำร้ายด้วยของแข็งมีคมทั้งนั้น ไม่มีแผลฟกซ้ำซึ่งแสดงว่าถูกชกต่อย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 แม้โจทก์จะไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ให้ปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา 29, 30.

Share