แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยที่สัญญาซื้อขายมีข้อตกลงกันว่าให้โจทก์มีสิทธิครอบครองได้ทันที และได้รับส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นเรียบร้อยแล้ว แม้โจทก์จะยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นในทันทีก็ตาม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้ละเมิดขัดขวางมิให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินตามข้อสัญญาดังกล่าวได้
ค่าเสียหายในการละเมิดขัดขวางมิให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินนั้น หากโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าตนจะได้เงินกินเปล่าเป็นจำนวนเท่าใด ทั้งมิได้นำสืบว่าที่ดินข้างเคียงกับที่ดินของโจทก์ได้เคยมีการให้เช่า และเสียเงินกินเปล่ากันอย่างไร และเงินกินเปล่าตามที่ฟ้องพฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์คาดคะเนเอาเองเมื่อฟ้องคดีนั้น โจทก์พึงได้รับแต่เฉพาะแค่ค่าเช่าที่โจทก์ควรจะได้จากวันที่โจทก์ได้รับสิทธิครอบครองตามสัญญาซื้อขายจนถึงวันฟ้องในฐานะเป็นค่าเสียหายเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ 3980 และที่ 4488 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาว่าจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 3980 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ในวันทำสัญญา ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4488 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างจำเลยที่ 1จะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาและจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินทั้ง 2 โฉนด และสิ่งปลูกสร้างซึ่งอยู่ในที่ดินได้ทันที่ ที่ดินทั้งสองแปลงโจทก์ซื้อในราคา 114,000 บาท โจทก์สัญญาจะจ่ายเงิน64,000 บาทให้จำเลยในวันทำสัญญา ที่ค้างอีก 50,000 บาท จะจ่ายให้ในวันที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์โฉนดที่ 4488 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโจทก์จำเลยทำสัญญาเพิ่มเติมว่าในวันทำสัญญา โจทก์จะจ่ายเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 1 เพียง60,000 บาท ที่เหลืออีก 4,000 บาทโจทก์จะจ่ายให้จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 กั้นห้องและทำบันไดขึ้นลงในที่ดินโฉนดที่ 3980 ให้โจทก์ตามสัญญา และโจทก์เข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในโฉนดที่ 3980, 4488 ไม่ได้สมบูรณ์ เพราะจำเลยที่ 2, 3 บังอาจบุกรุกเข้าไปอาศัยอยู่และเก็บสิ่งของไว้ที่ห้องชั้นบนและที่ดินชั้นล่างของโฉนดที่ 3980 กับจำเลยปิดประตูใส่กุญแจปิดปากทางเข้าออกด้านถนน ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4488 และสิ่งปลูกสร้างจำเลยที่ 2, 3 และบริวารบุกรุกเข้าไปทำและใช้ประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่ตุลาคม 2501 จนถึงบัดนี้ โจทก์ให้จำเลยออก จำเลยไม่ยอมออกโจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่ดิน สิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลง และกั้นฝาห้องทำบันไดให้ จำเลยที่ 1 รับว่าจะขับไล่จำเลยที่ 2, 3 และกั้นห้องทำบันไดให้ แต่ขอให้โจทก์จ่ายเงิน 4,000 บาทที่ค้าง โจทก์ยอมจ่ายให้ไป แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้จัดการอย่างไรโจทก์ถือว่าจำเลยผิดสัญญาและละเมิด ทำให้โจทก์เสียหาย คือ ที่ดินและห้องแถวโฉนดที่ 3980 เป็นเงินกินเปล่า 70,000 บาท ค่าเช่า 200 บาทที่ดินและบ้านเรือนโฉนดที่ 4488 เป็นเงินกินเปล่า 10,000 บาทค่าเช่า 12,000 บาทขอให้ศาลให้จำเลยส่งมอบโฉนดและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์จะได้จากการให้เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเดือนละ 1,525 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะเข้าครอบครอง
จำเลยที่ 1 ให้การรับว่า โอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์จริงตามฟ้อง และได้ส่งมอบให้โจทก์แล้วตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2501 โจทก์ตรวจดูสภาพที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วโจทก์ตกลงรับซื้อโดยไม่ทักท้วงและรับมอบโดยไม่อิดเอื้อน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบ ส่วนที่จำเลยที่ 2, 3 รอนสิทธิ และละเมิดสิทธิโจทก์อย่างใดก็ชอบที่โจทก์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 2, 3 เอาเอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 กั้นห้องและทำบันได เพราะตามสัญญาถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ทำภายใน 1 เดือน จำเลยยอมให้โจทก์หักเงิน 4,000 บาท จำเลยที่ 1 มิได้รับว่าจะจัดการขับไล่จำเลยที่ 2, 3 และค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกินความจริงขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2, 3 ให้การว่าไม่ได้บุกรุกหรือรอนสิทธิ จำเลยที่ 2, 3 ไม่เก็บสิ่งของ ไม่ได้ปิดกั้น บุกรุกขัดขวางโจทก์แต่อย่างไรจึงไม่ต้องรับผิดโจทก์เรียกค่าเสียหายเกินสมควร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์นำคดีมาสู่ศาลได้ เพราะโจทก์ได้ปลูกตึกลงในที่ดินโฉนดที่ 4488 ส่วนห้องพิพาทเวลานี้ก็กั้นประตูเหล็กให้เข้าเป็นร้านกาแฟ ทั้งประตูหลังห้องจำเลยที่ 2, 3 ก็ตีตะปูปิดตาย ถ้าจำเลยที่ 2, 3 จงใจขัดขวางกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว คงไม่ยอมให้โจทก์ทำได้ ตามที่ปรากฏในใบรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์มาร้องต่อศาลว่าจำเลยที่ 2, 3 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นจำเลยทั้งสองก็แถลงต่อศาลว่ามิได้เข้าเกี่ยวข้อง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองนำของไปวางในที่พิพาทเลี้ยงและปล่อยไก่ให้ถ่ายมูล ตากเสื้อผ้า เป็นเรื่องธรรมดา มิใช่ละเมิดจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะมิได้นำสืบแก้ คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและเห็นว่าโจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยไม่มีเหตุจำเป็น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2, 3 ได้วางของเกะกะในห้องพิพาทและเอาไก่เข้าไปเลี้ยง ถ่ายมูลสกปรกจนใช้ห้องไม่ได้กับตากผ้าซักผ้าในห้องและที่ดินพิพาท จึงวินิจฉัยว่าจำเลยได้ขัดขวางและรอนสิทธิโจทก์ในการที่จะได้ใช้ห้องแถวและที่ดินตามที่โจทก์ซื้อมา จำเลยที่ 2, 3 ต้องรับผิดในฐานละเมิดสิทธิของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าต้องรับผิด เฉพาะเรื่องทำบันไดและกั้นห้องให้โจทก์ ถ้าไม่ทำให้คืนเงิน 4,000 บาทให้โจทก์ทำเองส่วนค่าเสียหายโจทก์นำสืบไม่แน่นอน ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ควรได้ค่าเสียหายเฉพาะค่าเช่าที่ดินและโรงเรือนรวมเป็นเงิน 12,200 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 2, 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ห้องแถวพร้อมด้วยที่ดินโฉนดที่ 3980 กับเรือน 1 หลัง พร้อมทั้งที่ดินโฉนดที่ 4488 นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายให้โจทก์ตามเอกสาร จ.1 ก็ได้มีสัญญาตกลงกันให้โจทก์เข้าใช้สิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ได้ทันที และโดยเฉพาะห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 3980 พร้อมด้วยที่ดินนั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์แล้วแต่ในวันทำสัญญาซื้อขาย จ.1 ส่วนเรือน 1 หลังพร้อมด้วยที่ดินโฉนดที่ 4488 แม้ในวันทำสัญญา จ.1 จะยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ก็ดี แต่โดยสัญญาซื้อขาย จ.1 ก็ได้ตกลงยินยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินได้ทันที ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ได้ทำการส่งมอบทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดให้โจทก์แล้วในวันทำสัญญาซื้อขายนั่นเอง ดังนี้ถ้าจำเลยที่ 2, 3ขัดขวางละเมิดมิให้โจทก์ได้เข้าใช้สิทธิในที่ดินดังกล่าวตามข้อสัญญาจริงก็ถือว่าจำเลยที่ 2, 3 ละเมิดสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2, 3 ได้ ฎีกาจำเลยที่ 2, 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนค่าเสียหายนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า โจทก์ได้เงินค่ากินเปล่าไปเป็นจำนวนเท่าไร อีกประการหนึ่ง โจทก์ก็มิได้นำสืบว่าที่ดินข้างเคียงกับที่ดินของโจทก์ได้เคยมีการให้เช่าและเสียเงินกินเปล่ากันอย่างไร พฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์คาดคะเนเอาเองเมื่อจะฟ้องคดีนี้ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ได้รับค่าเช่าที่โจทก์ควรจะได้เป็นค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 12,200 บาท โดยไม่ให้จำเลยที่ 2, 3 ต้องชดใช้เงินกินเปล่าอีก 80,000 บาท ให้โจทก์ตามที่โจทก์ฎีกามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ส่วนปัญหาที่จำเลยที่ 2, 3 ฎีกาว่า ไม่ควรต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้นศาลฎีกาเห็นว่า นับแต่วันโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในวันที่1 ตุลาคม 2501 นั้น จำเลยที่ 2, 3 ได้ทำการขัดขวางในการที่โจทก์จะเข้าใช้สิทธิทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันฟ้อง คือ วันที่ 2 มิถุนายน 2502 นับเป็นเวลาได้ 8 เดือน ซึ่งโจทก์ก็นำสืบว่า โจทก์จะได้ค่าเช่าจากฟ้องและที่ดินโฉนดที่ 3980 เป็นค่าเช่าเดือนละ 25 บาทและจะได้ค่าเช่าเรือนและที่ดินโฉนดที่ 4488 เป็นเงินเดือนละ 1,500บาท และจำเลยที่ 2, 3 ก็มิได้มีพยานหลักฐานมาสืบหักล้าง ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่าค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้ค่าเช่าดังกล่าว เนื่องจากจำเลยที่ 2, 3 ละเมิดขัดขวางโจทก์ ก็เป็นค่าเสียหายพอสมควร ฎีกาจำเลยที่ 2, 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน