แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 4,200,000 บาท โดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้เงิน ต่อมาจำเลยกู้เงินโจทก์อีกโดยได้ทำบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 1 เป็นเงิน 3,500,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองและบังคับจำนองโดยคำขอท้ายฟ้องระบุว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์แสดงว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำนองโดยประสงค์จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์ที่จำนองเท่านั้น มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ สัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวไม่มีข้อความว่า หากโจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนอง โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้อีก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 733
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 11,545,291 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 7,700,000 บาท นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 31716 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน (ตลาดใหม่) จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 31716 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่จำนองออกขายทอดตลาด โดยโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 3,000,000 บาท เมื่อนำเงินดังกล่าวชำระหนี้โจทก์แล้ว ปรากฏว่ายังไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่ง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน (ตลาดใหม่) จังหวัดนครปฐม และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่ง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน (ตลาดใหม่) จังหวัดนครปฐม และเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด
จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องบังคับจำนอง เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมเงินโดยให้จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 31716 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองและให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินของจำเลย เมื่อขายทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 เพื่อชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องของจำเลยและคำคัดค้านของโจทก์แล้ว เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง และในสัญญาจำนองระบุให้ถือสัญญาจำนองนี้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินด้วย คำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องให้ชำระหนี้ทั่วไป เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ดังกล่าวชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์จนครบ ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ดังกล่าว ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์จำนอง ให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 31714 ที่ยึดไว้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยอย่างเจ้าหนี้สามัญ โดยถือเอาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะนำยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้เมื่อยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดแล้วไม่พอชำระหนี้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำนอง โอนที่ดินที่จำนองชำระหนี้โจทก์หรือให้ทรัพย์ที่จำนองหลุดเป็นสิทธิโจทก์แต่อย่างใดจึงมิใช่เป็นการฟ้องบังคับเอาทรัพย์ที่จำนองนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ได้รับบรรยายฟ้องมีใจความว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 4,200,000 บาท โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 31716 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน (ตลาดใหม่) จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านตึกสองชั้นเลขที่ 84/1 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินมาจำนองไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้เงิน โดยให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้เงินดังกล่าว ต่อมาจำเลยกู้เงินโจทก์อีกโดยได้ทำบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 1 เป็นเงิน 3,500,000 บาท จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามกำหนดเวลาในสัญญาจำนอง โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยกู้เงินอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองและบังคับจำนอง โดยคำขอบังคับท้ายฟ้องระบุว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 31716 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำนองโดยประสงค์จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์ที่จำนองเท่านั้น หาได้ใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญดังที่โจทก์ฎีกาไม่ และในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ส่งพยานเอกสารคือสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยให้ถือหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินด้วย สัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวไม่มีข้อความว่า หากโจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนองตามคำขอบังคับของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้อีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ