คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ขอเพิ่มเติมคำให้การครั้งแรก ยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ว่า ที่โจทก์ถอนการอายัดทรัพย์จำเลยที่ 1 เท่ากับยอมให้เปลี่ยนแปลงสภาพหนี้ตามฟ้อง การค้ำประกันจึงเป็นโมฆะ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขอเพิ่มเติมคำให้การครั้งหลังยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นใหม่อีกว่า โจทก์ผ่อนเวลา และหลังจากฟ้องแล้วโจทก์ได้รับชำระหนี้จากเงินประกันภัยของจำเลยที่ 1 กับหักหนี้จากเงินขายฝากที่ดินที่โจทก์หรือผู้แทนรับซื้อฝากไว้จากจำเลยที่ 1 หนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นอันระงับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด ข้อที่ขอเพิ่มเติมคำให้การนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแล้ว โรงงานทอผ้าของจำเลยที่ 1 ถูกเพลิงไหม้ และในวันชี้สองสถานศาลมีคำสั่งอายัดเงินค่าประกันภัยจากบริษัทประกันภัย ส่วนการซื้อฝากที่ดินได้กระทำกันภายหลังวันชี้สองสถานแล้ว จึงเป็นที่เห็นได้ว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นภายหลังทั้งสิ้น ซึ่งจำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงมีสิทธิขอเพิ่มเติมคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้เฉพาะเรื่องจำเลยได้ชำระหนี้แล้วก็เป็นการชอบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33 – 34/2512 และ 1/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่างนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันเงินที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ ในวงเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาทและ ๕๕๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ออกเช็คธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสำเพ็ง ให้โจทก์ ๖ ฉบับ รวมเงิน ๘๑๙,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ นำมาขายลดไว้กับโจทก์ โจทก์นำเช็คทั้ง ๖ ฉบับเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าเงินในบัญชีจำเลยไม่พอจ่าย โจทก์ทวงถามและมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๘๘๑,๓๖๗.๑๕ บาท และ ดอกเบี้ยถ้าไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระโดยไถ่ถอนจำนองโดยชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท และ ๕๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่ไถ่ถอนให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยค้าขายกับโจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ตามฟ้อง ฯลฯ
วันชี้สองสถาน จำเลยที่ ๑ ไม่ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ และโจทก์ยื่นคำร้องว่า โรงงานทอผ้าพร้อมทั้งเครื่องจักรและโรงงานหล่อดอกยางของจำเลยที่ ๑ ถูกเพลิงไหม้ จำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัยไว้รวม ๕ บริษัท ขอให้ศาลอายัดเงินไว้ ศาลมีคำสั่งอายัด ต่อมาได้ ถอนการอายัดเสียทั้งหมด
เมื่อศาลเริ่มสืบพยานจำเลยตามที่ศาลสั่งให้จำเลยสืบก่อน แต่สืบยังไม่หมด วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การความว่า การที่โรงงานทอผ้าของจำเลยที่ ๑ ถูกเพลิงไหม้ จำเลยที่ ๑ มอบหมายให้นายเกียรติวิ่งเต้นช่วยเหลือเจ้าหนี้ลดหนี้ให้จำเลยที่ ๑ และภริยานายหลีจั๊วผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ ๑ พ้นข้อหาวางเพลิง ด้วยเหตุนี้โจทก์ฉวดโอกาสนำหมายศาลไปอายัดเงินจากบริษัทการ์เดียนประกันภัย จำกัด ไว้ก่อนจำเลยที่ ๑ ภริยาจำเลยที่ ๑ หรือนายเกียรติจึงรับเงินเอามาประนอมหนี้ ตามที่ตกลงกันไม่ได้ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ และ นายเกียรติจึงไปขอร้องต่อนายกาญจน์และพวกโจทก์ขอให้ถอนการอายัด โดยจำเลยที่ ๑ ย่อมใช้หนี้ตามฟ้องให้โจทก์ ๓๐๐,๐๐๐ บาท กับนำที่ดินตำบลสำโรงมาขายฝากนายกาญจน์หรือตัวแทนของพวกโจทก์ เป็นเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท แต่รับเงินจริงเพียง ๙๐๐,๐๐๐ บาทเศษ นอกนั้นโจทก์หักไว้เป็นค่าชำระหนี้รายพิพาท โจทก์ถอนการอายัดทรัพย์จำเลยที่ ๑ โดยไม่บอกให้จำเลยที่ ๒,๓ ผู้ค้ำประกันทราบ และการที่โจทก์ถอนอายัดเท่ากับยอมให้เปลี่ยนแปลงสภาพหนี้ตามฟ้อง ฉะนั้น การค้ำประกันที่ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำไว้เป็นโมฆะ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด
ต่อมาวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การอีกว่า สัญญาซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำไว้กับธนาคารโจทก์สาขาสำเพ็ง มีวันชำระหนี้แน่นอน แต่โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ ทั้งโจทก์ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ในเรื่องสัญญากู้ กลับมาฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามเช็ค ๖ ฉบับ ซึ่งโจทก์หรือผู้แทนในฐานะธนาคารพาณิชย์ไม่มีสิทธิจะรับซื้อเช็คด้วยวิธีลดราคา เพราะฝ่าฝืนและขัดต่อพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ และเป็นการที่ธนาคารโจทก์สาขาสำเพ็งกับจำเลยที่ ๑ สมยอมกันโดยไม่สุจริต เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์หรือผู้แทนโจทก์ได้ประนีประนอมกัน และได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ โดยได้เงินค่าประกันภัยของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ทั้งโจทก์หรือผู้แทนยังได้หักหนี้ตามฟ้องจากจำเลยที่ ๑ บ้างแล้ว โดยวิธีหักจากเงินที่รับซื้อฝากที่ดิน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงหยุดพ้นความรับผิด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เห็นสมควรอนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ตามคำร้องลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๗
และลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๐๘ เฉพาะเรื่องจำเลยได้ชำระหนี้แล้ว
ก่อนที่มีการสืบพยานจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่อไป จำเลยที่ ๑ ยื่นคำแถลงว่า ความจริงจำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้ของโจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้ว คือ หลังจากโจทก์ถอนการอายัดเงินค่าประกันภัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ แล้ว โจทก์หรือผู้แทนโจทก์ก็ได้ไปขอรับเงินค่าประกันภัยจากบริษัทการ์เดียนประกันภัย จำกัด เป็นเงิน ๗๙๒,๕๑๕ บาท เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๐๗ และโจทก์หรือผู้แทนไปรับเงินค่าประกันภัยจากบริษัทเยนเนอรัลไฟร์แอสชัวรันส์ออฟปารีสฝรั่งเศส จำกัด เป็นเงิน ๕๒๔,๙๖๙ บาท เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๐๗ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๑ ยังมีเงินส่วนเกินจากการขายฝากที่ดินกับนายกาญจน์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท นายกาญจน์มิได้ชำระให้จำเลยที่ ๑ แต่หักไว้เป็นการชำระหนี้ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ปัญหาข้อแรกคือ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เพิ่มเติมคำให้การ เป็นการชอบหรือไม่
ปรากฏว่า ข้อที่ขอเพิ่มเติมคำให้การครั้งแรกตามคำร้องลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ ยกข้อต่อสู้ใหม่ว่า ที่โจทก์ถอนการอายัดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เท่ากับยอมให้เปลี่ยนแปลงสภาพหนี้ตามฟ้อง การค้ำประกันจึงเป็นโมฆะ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด ส่วนข้อที่ขอเพิ่มเติมคำให้การครั้งหลังตามคำร้องลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๐๘ ยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นใหม่อีกว่า โจทก์ผ่อนเวลา และหลังจากฟ้องแล้ว โจทก์ได้รับชำระหนี้จากเงินประกันภัยของจำเลยที่ ๑ กับหักหนี้จากเงินขายฝากที่ดินที่โจทก์หรือผู้แทนรับซื้อฝากไว้จากจำเลยที่ ๑ หนี้ของจำเลยที่ ๑ เป็นอันระงับ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันหลุดพ้น จากความรับผิด ข้อที่ขอเพิ่มเติมคำให้การนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแล้ว โรงงานทอผ้าของจำเลยที่ ๑ ถูกเพลิงไหม้ และในวันชี้สองสถาน ศาลมีคำสั่งอายัดเงินค่าประกันภัยจากบริษัทประกันภัย ส่วนการซื้อขายฝากที่ดินได้กระทำกันภายหลังวันชี้สองสถานแล้ว จึงเป็นที่เห็นได้ว่า เป็นเหตุที่เกิดขึ้นภายหลังทั้งสิ้น ซึ่งจำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงมีสิทธิขอเพิ่มเติมคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐
แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้เฉพาะเรื่องจำเลยได้ชำระหนี้แล้ว ก็เป็นการชอบ
ส่วนข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามฟ้องแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ผู้ค้ำประกัน ก็หลุดพ้นจากความรับผิด
พิพากษายืนในผลที่ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓

Share